-->

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

กวีวัจนะ📜 ร้อยกระบวนสำนวนไทย (๑) ร่ายสุภาพ/ฉันท์

สำนวนไทยในชีวิตประจำวัน https://planetpt.blogspot.com/
โวหารโบราณไทย แทรกแฝงไว้เป็นคติ ก่อดำริโดยชอบ ให้รอบคอบคิดเห็น ยามบำเพ็ญกอปรกิจ  แก่ชีวิตทุกขณะ  รู้ปะทะทางทุกข์ รู้สร้างสุขพอเสพ รู้จักเจ็บจักจำ รู้โถมทำรู้ถอย รู้รอคอยรู้เร่ง รู้ควรเก่งควรหลบ รู้สยบรู้ยอ รู้ควรงอควรหัก รู้ผ่อนหนักผ่อนเบา รู้ทางเขลาทางควร รู้ถี่ถ้วนทางเถิน รู้ดำเนินทางราบ รู้บำราบปรปักษ์ รู้ตอบรักหมู่มิตร รู้ขบคิดครวญใคร่ รู้สงสัยสืบเสาะ รู้ย่างเหยาะเย็นเยือก รู้ว่าเปลือกว่าแก่น รู้ตอบแทนตอบรับ รู้สดับรู้แสดง รู้ระแวงขานไข รู้เปิดใจเปิดปาก รู้ใดกากใดค่า รู้คบค้าเพื่อนมนุษย์ รู้สมมุติสงสาร รู้สราญเริงรื่น รู้หยิบยื่นแก่เขา รู้รับเอาเหมาะสม รู้ทางลมทางหลีก รู้ใครฉีกใครฉก รู้ยอยกชีวาตม์ รู้อำนาจยามใช้ รู้ปลอบใจยามหม่น รู้เจียมตนเจียมอยู่ รู้ศัตรูรู้มิตร หลั่งแง่คิดคมคาย หลากความหมายมากมี แล้วแต่ตีความขบ บ้างซ่อนทบหลายชั้น บ้างแดกดันพอเจ็บ บ้างหนักเหน็บตรงตรง บ้างเจตน์จงปรามาส บ้างประสาทสังสิทธิ บ้างสะกิดให้ฉุก บ้างปลอบปลุกให้สู้ บ้างโจมจู่จับใจ บ้างเลียดไถลเข้าข้าง บ้างสมอ้างเอาเอง ท่านเลบงบอกบท กำหนดข้อคำสอน  เป็นคำกลอนสุภาษิต ให้แง่คิดคำคม บ้างติชมเฉยเฉย เรียกคำพังเพยก็ว่า บ้างอุปมาอุปไมย ยกข้อไขเปรียบเทียบ เรียบเรียงไว้โวหาร เป็นบำนาญแห่งผู้ ชมชื่นหวังเรียนรู้ แบบเบื้องบุรพกาล  ท่านแฮ...

วิชชุมมาลาฉันท์


ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คนดีมักไร้ เภทภัยแผ้วพาน

ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน อยากอยู่สำราญ อย่าเที่ยวโกงใคร

ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ต่างรู้ไส้ใน ซึ่งกันและกัน
จอดไม่ต้องแจว เถื่อนแถวทางตัน ขัดข้องทั้งนั้น ทางสู้ทางหนี

หาเหาใส่หัว เปลืองตัวใช่ที่ ช่วยเขาเราซี หน้าเผือดเดือดร้อน

เอามือซุกหีบ ต้องรีบไถ่ถอน พิษร้ายภัยรอน อย่าวอนหาความ

อย่าหมิ่นทับถม คนล้มอย่าข้าม วันนี้ทรุดทราม วันงามยังมี
 

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563

🌼โมก : หอมละมุนกรุ่นเสน่ห์ทั้ง วงศ์วาน

 

ดอกไม้หอม  "โมก" Water Jasmine       เหม่อดูหมู่แมกไม้           
        เหตุไฉนดูเศร้าหมอง
        หรือเค้าโมงที่เคยมอง
        เคยจู่จับกลับหายไป

       โมกซ้อนกลีบอ่อนหวาน
       สั่นสะท้านเหมือนจับไข้
       อ่อนระโหยด้วยโพยภัย
      ที่สาดสุมมารุมทรวง

      จากไปไม่เหลือแล้ว
      ประกายแก้วเคยห่วงหวง
      เดือนดับกับแดดวง
      แล้วพฤกษ์ไพรก็หายวับฯ 


โมก [โมกลา โมกซ้อน โมกบ้าน]
วงศ์ : Apocynaceae 
ลำนำดอกไม้  ไม้ไทยกลิ่นหอมพิสุทธิ์..โมก
            ไม้ต้นนี้มีเพื่อนพ้องน้องพี่่ร่วมวงศ์เดียวกันเป็นไม้ดอกสวยงามมากมายเช่น ลีลาวดี บานบุรี ยี่โถ ชวนชม รำเพย ตีนเป็ดและพญาสัตบรรณฯลฯ เป็นต้น ลักษณะเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของพืชในวงศ์นี้คือ มียางเหนียว ๆ สีขาวข้นในแทบทุกส่วนของลำต้นที่จะไหลซึมออกมาทันทีที่ถูกสะกิด ซ้ำร้ายกว่านั้น ยางของไม้ในวงศ์นี้บางต้น โดยเฉพาะยางของต้นรำเพย ยี่โถ และชวนชมยังมีพิษเบื่อเมาอย่างร้ายแรง จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเด็ก ๆ ที่อาจสัมผัสหรือเผลอรับประทานเข้าไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

https://planetpt.blogspot.com/
            โมก..เป็นไม้ที่อยู่เคียงคู่กับสังคมไทยมานานแล้วเฉกเช่นเดียวกับไม้ไทยโบราณอื่น ๆ หลายต้น บทประพันธ์เกี่ยวเนื่องถึงไม้โมกและไม้โมกมันที่ปรากฎอยู่ในวรรณคดีไทยก็่มีหลายต่อหลายเรื่องเช่นกัน อย่างเช่นในบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่่ ๑ เรื่อง “รามเกืยรติ์” ที่ว่า

        ไก่แก้วจับแก้วขันขาน
        กระเหว่าจับกระวานส่งเสียง
        เค้าโมงจับโมกมองเมียง
        นกหกจับเหียงเคียงจร

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2563

๑๑ เหตุผล💎 ทำไมสุนทรภู่จึงยืนหนึ่งในฐานะกวีเอกเสมอมา..

BookAbout  สุนทรภู่ ครูกวี ThaiPoet

ย้อนความหลังครั้งเก่าเงาอดีต ทั้งจารีตประเพณีที่สูญหาย

อีกสีสรรพ์วรรณคดีที่พริ้งพราย กับลวดลายนิทานเนิ่นนานมา

เพราะหนังสือถูกทัพดิสรัปชั่น มาห้ำหั่นจนสูญหายไปต่อหน้า

จึงสืบสานพอให้รู้ผ่านหูตา ตามประสาคนเก่า..อยากเล่าให้ฟัง...


คงจะมีคนสงสัยกันบ้างว่า ทำไมกวีเอกอย่างสุนทรภู่ถึงได้รับการยอมรับและยกย่องกันเป็นอย่างมาก ทั้งที่ไทยเรามีกวีฝีมือเยี่ยมและวรรณคดีชั้นครูอยู่มากมาย  วันนี้ เราจะมาดูกันว่า กระบวนกลอนสุนทรภู่มีความโดดเด่นอย่างไร ถึงทำให้ท่านยืนหนึ่งตลอดมา…..


รื่นไหลดังสายน้ำ

งดงามด้วยลีลา

อหังการ์เปี่ยมล้น

แยบยลในการเล่า

ปลุกเร้าจินตนาการ

แตกฉานในสัมผัส

เด่นชัดในในอารมณ์

อุดมสุภาษิต

สื่อชีวิตแนบเนียน

เขียนภาษาตลาด

ปราชญ์แห่งการใช้คำ

"สุนทรภู่"  SoonthornPoo Thai Great Poet


บางที นี่อาจจะเป็นบทสรุปงานของท่านภู่หรือสุนทรภู่ที่เรารู้จักกันดีในฐานะกวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านถือเป็นกวีสี่แผ่นดิน คือเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ แล้วมีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงรัชกาลที่ ๔  ท่านเกิดและเติบโตมาในรั้ววังหลัง เพราะมีแม่เป็นข้าหลวงอยู่ในวัง  ตอนที่ท่านเริ่มโตเป็นโจ๋อยู่แถววังหลังนั้น เป็นช่วงต้นรัชกาลที่ ๒ ที่ถือกันว่าเป็นยุคทองของวรรณคดีไทย  เพราะสังคมเริ่มสงบ เริ่มฟื้นตัวจากพิษสงครามกับพม่า   มีการติดต่อค้าขายกับฝรั่ง แขก จีน ไทยไปทั่วกรุงสยามสมัยนั้น  ท่านสุนทรภู่คงมีโอกาสคลุกคลีกับนักเดินทางและคนเรือสินค้าที่ขึ้นล่องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามา ท่านจึงซึมซับความรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากโลกภายนอกอย่างกว้างขวาง  ประกอบกับในรั้ววังหลังก็คงมีการละเล่น ร้องรำทำเพลงกันเป็นประจำ เช่น เล่าขานวรรณคดี ขับเสภา เล่นกลอนสักวา การละครฟ้อนรำ  บรรเลงมโหรีปี่พาทย์ สิ่งเหล่านี้ สุนทรภู่คงคุ้นเคยเป็นอย่างดี  เมื่อรวมกับนิสัยรักเรียนเขียนอ่านของท่าน  จึงไม่แปลกอะไรที่ท่านจะมีความรู้แตกฉานด้านการใช้ภาษาและสามารถนำออกมาใช้อย่างเชี่ยวชาญ…


ทีนี้ มาดูกันทีละข้อว่ากลอนของสุนทรภู่มีความโดดเด่นอย่างไร

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561

🌸 เล็บมือนาง : เล็บนางนามแม่นี้..มีนัย

ลำนำดอกไม้  เล็บมือนาง [Rangoon Creeper]

เล็บมือนางสะอางโฉม
ยามลมโลมกลางฟ้าใส
กิ่งก้านแม้แกว่งไกว
ยังชูช่ออรชร
แรกขาวแล้วพราวผ่าน
สู่แดงฉานไม่หยุดหย่อน
ผีเสื้อ..หมู่ภมร
เข้าจู่จับระยับตา...ฯ

เล็บมือนาง [Rangoon Creeper]
วงศ์ : Combretaceae

          พันธุ์ไม้โบราณดอกหอมของไทย  รู้จักกันดีอย่างน้อยตั้งแต่สมัยกลางยุคกรุงศรีอยุธยามาแล้ว จัดเป็นไม้ไทยในวรรณคดีที่มีการพรรณาถึงดอกเล็บมือนางอยู่หลายเรื่อง ดังปรากฎในลิลิตพระลอว่า..
          
"เล็บมือนางนี้ดั่ง    เล็บนาง เรียมนา
ชมม่านนางหวังต่าง        ม่านน้อง
ชมพูสไบบาง                   นุชคลี่ ลางฤา
งามป่านี้ไม้ปล้อง             แปลกปล้องคอศรีฯ

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2561

บทกวี >> ใดจักเปรียบปานแม่ ผู้พระในเรือน

บทกวี พระคุณแม่  https://planetpt.blogspot.com/

๐ ตักข้าวใส่ปากแม่ คำเดียว
บุญห่มรักกลมเกลียว แน่แท้
บาตรพระตักหลายเที่ยว ยังอาจ บุญโรย
ใดจักเปรียบปานแม่ ผู้พระในเรือนฯ

๐ แต่เล็กจนแก่กร้าน ใจกาย
หอมห่วงมิวางวาย ลูกแม่
หมายลูกอยู่สุขสบาย เป็นหนึ่ง
ตนเหนื่อยหนาวหนักแปล้ ห่อนคิดเคยครวญฯ

๐ ยามเจ็บยามป่วยไข้ ใจตรอม
ใครห่วงจนผ่ายผอม เผื่อด้วย
เพื่อลูกแม่ยินยอม ทุกอย่าง
ลูกเจ็บแม่อยากช่วย เจ็บแม่แทนเองฯ

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สาระนิทาน ชุด ไม้ไทยใจดี 🌿 "ไผ่น้อย..ธรรมดา"

สารนิทาน ไม้ไทยใจดี https://planetpt.blogspot.com/ในป่าเบญจพรรณ
มีพันธุ์ไม้ใหญ่น้อย นับร้อยนับพัน
พ่อแม่พี่น้องของฉัน
ต่างเกิด โต ตาย ที่นั่น เสมอมา

ฉันเป็นพืชตระกูลหญ้า
แต่ต้นโตกว่า เลยเรียกกันว่า"ไผ่"
ญาติพี่น้องมากหน้า มีหน้าตาแตกต่างกันไป
บ้างใบเล็ก บ้างใบใหญ่
บ้างเป็นพุ่ม บ้างเป็นกอ
แต่ล้วนตั้งลำแบ่งข้อ แตกหน่อที่ตา

เขาว่ากันว่า ฉันคล้ายผู้หญิง
ดูดูก็จริง เพราะฉันอ่อนไหว
ฉันชอบร้องเพลง ฉันชอบลู่ลม
เป็นเหมือนม่าน เหมือนพรม
ช่วยกันห่มไม้ใหญ่

ถึงคราวฟ้าพิโรธ ลงโทษป่าด้วยไฟ
ฉันก็พลอยผสม ระเริงลมเต็มที่
ที่ฉันทำอย่างนี้ เธอคงว่าไม่ดีใช่ไหม

แต่ที่จริงฉันทำเพื่อไม้อ่อน
เขาอ้อนวอนขอเติบใหญ่



https://planetpt.blogspot.com/
ฉันจึงต้องเปิดป่า ให้ใบหญ้าได้ระบัด
เป็นโรงอาหารของสัตว์ นานา

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทกวี >> สองมือแม่นี้ที่สร้างโลก

บทกวี  วันสตรีสากล

ถูก!...เธอเป็นผู้หญิงก็จริงอยู่
 แต่เธอคือนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ 
ในมือสองมีแรงคอยแกว่งไกว 
และเป็นขวัญกำลังใจให้ชายชม 

แปลกอะไรชายหรือหญิงล้วนสิ่งสร้าง 
ที่แตกต่างเพียงกายที่เสพสม 
มีเลือดเนื้อมีชีวามีอารมณ์ 
มีเคียวคมแห่งปัญญาค่าเหมือนกัน 

ใครอ่อนโยนเข้มแข็งหรือแกร่งกว่า 
ก็แค่คำกล่าวหาด้วยเดียดฉันท์ 
ตราบท้องฟ้าอาทิตย์ยังคู่จันทร์ 
ความสำคัญคือยังอยู่เป็นคู่ชิด 

ใครเท้าหน้าเท้าหลังก็ช่างเท้า 
ทุกการก้าวเท้าทั้งสองต่างครองสิทธิ์ 
ที่จะเดินที่จะย่ำนำชีวิต 
ตามแต่จิตคิดหวังที่ตั้งมา 

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บทกวี >> ขยะ

บทกวี >> ขยะ

จะนิ่งเฉยอยู่ทำไมหนอใจเจ้า
ในน้ำเน่ายังมีจันทร์ให้ฝันหรือ
สองมือเจ้าก็แคล่วคล่องทั้งสองมือ
ไยไม่รื้อร่องวิบัติให้พลัดไป

ในน้ำเน่าเงาจันทร์สิงก็จริงอยู่
แต่คงความหดหู่หรือมิใช่
เมื่อขยะปฏิกูลพอกพูนไทย
ขยะในใจคนก็ล้นตาม

ก่อกาลีผีร้ายย่างกรายเกลื่อน
ให้แปดเปื้อนประชาชนอีกล้นหลาม
ต้องจำยอมจ่อมจมสังคมทราม
กับสำนึกเหยียดหยามประณามตน

ที่ทนทานทบท่าวระทมทุกข์
สาละวนเสพสุขทั้งใจหม่น
ปล่อยเมฆร้ายผลาญพร่าฟ้าเบื้องบน
ให้ฟ้าหมองเยี่ยมยลแต่อนธกาล

วันนี้แสงเรื่อเรืองแห่งเมืองรุ้ง
เริ่มทิ้งคุ้งโค้งระยับกลับถึงบ้าน
เคืองระคายแค้นคามาเนิ่นนาน
กลับฉายฉานปรัศนีย์ที่ควรคิด

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

บทอาเศียรวาท >> เทพรัตน์วรรษา มหาจักรีสิรินธร

สมเด็จพระเทพราชสุดาฯ.jpg
(ฉบัง ๑๖)
สมเด็จพระเทพรัตนา  วรราชสุดา
แห่งองค์มหาภูมินทร์

ภูมิพลบรมจักริน   เอกอัครศิลปิน
เจิดแจ่มฟ้าหล้าบุรีศรี

สืบเทพสืบธรรมบารมี   สืบวงศ์จักรี
สืบศักดิ์สืบศรีทวยไทย

เชิงชาญกานท์กวีเรืองไร จ่อเจตจริงใจ
สื่อสร้อยภาษาพาสาร

ศึกษาแบบเบื้องบุรพกาล เรียนรู้โบราณ
หมายต่อสายธารอนาคต

ด้าวแดนแว่นแคว้นชนบท มิเคยราลด
เสด็จเยือนสุขเศร้าสั่งสม

ต่อยอดพัฒนาปรารมภ์  ระดะระดม
ไพร่ราบปราบสู้ทุกเข็ญ

ดำเนินดำเนียรบำเพ็ญ สู่ราษฏร์ร่มเย็น
เฉกเช่นพระพ่อเพียรพา

ชาตกาลหกสิบชันษา  ห่มห้อมบุญญา
ขอพระสุขเกษมเปรมชัย

เชิญคุณพระรัตนตรัย   คุ้มครองป้องภัย
ไว้หลักขัตติยะนารี

เป็นแก้วประพาฬรัศมี   เปล่งคุณความดี
แผ่สุขไพศาลนิรันดร์เทอญ

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
๐ ระพี พชระ ๐
ภาพจิตรกรรมพระสาทิสลักษณ์...อาจารย์จักรพันธ์ โปษยกฤต

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

🌼 แก้ว : แพรพรรณบนเนื้อไม้

ลำนำดอกไม้  แก้ว  (Orange jasmine)

รวยรินกลิ่นกรุ่นพิกุลแก้ว
เจื้อยแจ้วสกุณาจ้าเสียง
เซ็งแซ่หาคู่มาเคียง
จำเรียงลำนำช้ำรัก
ป่านนี้เจ้าไปไกลที่ไหนหนอ
ปล่อยให้คนรอต้องทุกข์หนัก
โศกเศร้าเจียนตายช่างร้ายนัก
เหมือนหนามปักกลางใจไม่หน่ายพิษ..ฯ

แก้ว [Andaman Satinwood]
วงศ์ : Rutaceae
ดอกไม้..ให้คุณ


            
          เคยฟังเพลงที่ศิลปินล้านนาผู้โด่งดัง "จรัล มโนเพชร" เคยประพันธ์และขับร้องไว้อยู่้เพลงหนึ่ง ชื่อเพลง "น้อยไจยา" มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า 'ดอกพิกุลก็คือดอกแก้ว'  ก็ให้สงสัยตงิด ๆ เลยไปค้นดู  ครับ..คนทางภาคเหนือเรียกดอกพิกุลว่า ดอกแก้ว จริง ๆ  ส่วนดอกแก้วที่เรารู้จักกันกลับไพล่ไปเรียกว่า แก้วพริก..

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กวีวัจนะ 📃 ร้อยกระบวนสำนวนไทย (๔) กลอนสุภาพ

ร้อยกระบวนสำนวนไทย (๔)..กลอนสุภาพ


กลอนสุภาพ


ตำน้ำพริกละลายในแม่น้ำ
เผ็ดจะนำรสได้อย่างไรหนอ
เปรียบงานนิดคิดเสียเพลินจนเกินพอ
เขาเยินยอจ่ายไม่ยั้งหวังคำชม
เอาเนื้อหนูปะเนื้อช้างหวังเอาหน้า
กับมหาเศรษฐีมีเงินถม
เจียดสินทรัพย์อย่างโก้แท้โง่งม
เราล่มจมเขามากเพิ่มแค่นิดเดียว
หวังงานใหญ่อย่าลองเล่นเช่นยาจก
กุ้งฝอยตกปลากะพงคงเสียเที่ยว
ลงทุนน้อยกำไรมากยากนักเชียว
กว่าขับเคี่ยว กว่าได้การ นานนานที
ไม่เห็นน้ำด่วนไปตัดกระบอก
อาจเสียดยอกทุกข์ทนรนหาที่
ยังไม่ถึงเวลาค่าควรมี
ด่วนทำไปก็เปล่าปลี้มีแต่เปลือง
เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้างเอาอย่างเขา
เที่ยวเกลือกกลั้วมัวเมาไม่เข้าเรื่อง
เขามั่งมี เรามีมั่ง ตั้งตาเคือง
เลียนแบบความฟุ้งเฟื่องเซื่องเซื่องไป

กินข้าวร้อน นอนตื่นสายอย่างนายเหนือ
รักสบายอยู่ทุกเมื่อน่าเบื่อไหม
ทุกงานทำก็ฝืนทำเพราะจำใจ

เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ งอมือตีน
คอยผัดวันประกันพรุ่งมุ่งผัดผ่อน
ต้องเดือดร้อนเพราะพาทีไม่มีศีล
ใครจะรอต่อให้แน่แม้ปวีน
ยากป่ายปีนความสำเร็จเสร็จทันกาล
ปากเป็นเอก เลขเป็นโท โวหารเปรียบ
ยกทำเนียบวิทยามหาศาล
ยังเป็นรองร้อยรสพจมาน
ที่ขับขานออกไปให้คนยิน

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> บานประตู

บทกวี  บานประตู   https://planetpt.blogspot.com/

บานประตูมีไว้ให้เปิดกว้าง 
ใช่แค่เพียงอำพรางซ่อนบางสิ่ง 
หรือจำนนพ่ายแพ้อย่างแท้จริง 
จึงปิดตายไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น 

บานประตูมีไว้ใช่แค่แง้ม 
หากยังถูกแต่งแต้มด้วยสีสรรพ์ 
ที่รอการเปิดไขใช่ทางตัน 
แต่คือก้าวสำคัญสู่โลกงาม 

ถึงรั้วหนากล้าแกร่งกำแพงกั้น 
ก็ไม่อาจหยุดฝันอันไหวหวาม 
เพราะหัวใจนักสู้ทุกผู้นาม 
ไม่เคยหยุดติดตามหาตัวตน
 
ตราบรำเพยแห่งสายลมยังพรมพัด 
ไม้ยังผลัดใบบังยังร่วงหล่น 
กระแสแห่งศักดิ์ศรีเสรีชน 
ย่อมว่ายวนรี่ไหลในสำนึก
 
เมื่อแสงทองส่องเตือนการเคลื่อนไหว 
แสงก็ส่องห้องหัวใจให้รู้สึก 
สะทกสะท้อนวามวู่อยู่ลึกลึก 
ให้ตริตรึกลึกซึ้งถึงทางควร

โพสต์แนะนำ

สาระนิทาน ชุด ไม้ไทยใจดี 🍽 เรื่อง "ข.ข้าว ขาว ขาว"

เขียวเอย...เขียวพรมผืนใหญ่ ใครมาถักทอไว้ แลไกลสุดตา  เจียวเอย... ตัวฉันนั่นไง  ใบ ข้าว เขียวเขียว ยืนต้นเดี่ยวเดี่ยว  ร...