เอ่ยถึงคำว่า "ทอดหุ่ย" ขึ้นมา เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าคำ ๆ นี้ที่มาจากไหน โดยเฉพาะคำว่า “หุ่ย”มาจากอะไร น่าแปลกที่ขนาดถามตาเกิ้ล (คนละคนกับตาเกิ้นในเรื่อง “ล่องไพร” ของ “น้อย อินทนนท์”) ก็ยังไม่ได้เรื่อง ยังดีที่ได้พบความไม่อยู่กับร่องกับรอยของพจนานุกรมไทยที่ยังความสับสนแก่นักเรียนและประชาชนอีกครั้งในสำนวนนี้ กล่าวคือ ในความหมายเดิม (ฉบับปี ๒๔๙๓) ราชบัณฑิตท่านให้ความหมายว่า “อาการนอนอย่างอ่อนอกอ่อนใจ” พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่สบายใจนั่นแหละ แต่พอมาถึงฉบับปี ๒๕๒๕ ความหมายกลับเปลี่ยนไปเป็น “การนอนอย่างสบายใจ ปราศจากความวิตกกังวล”....คนละขั้วไปเลย
ตัวอย่างคล้าย ๆ กันของสำนวนไทยที่แปรเปลี่ยนความหมายไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงอีกคำหนึ่งก็คือ คำว่า "ศรศิลป์ไม่กินกัน"
คำ ๆ นี้ที่จริงเป็นคำคู่ เพราะทั้งคำว่า “ศร” และคำว่า “ศิลป์” ในสมัยก่อนต่างก็หมายถึงลูกธนูเช่นเดียวกัน สำนวนนี้มีที่มาจากวรรณคดี “รามเกียรติ์” ซึ่งมีเค้าเรื่องคล้ายกันอยู่ถึงสองตอนด้วยกัน ตอนหนึ่งคือศึกไมยราพณ์ เป็นตอนที่หนุมานรบกับมัจฉานุผู้เป็นลูกที่เกิดจากนางสุวรรณมัจฉา เพียงแต่ตอนนี้ อาวุธที่ทั้งคู่ใช้ ไม่ใช่ลูกศร ส่วนอีกตอนหนึ่งอันเป็นที่มาของสำนวนนี้โดยตรงคือ ตอนที่พระรามออกไปรบกับพระมงกุฎและพระลบผู้เป็นบุตร โดยที่ต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้จักกัน ปรากฏว่า ศรที่พระรามแผลงออกไปกลับกลายเป็นขนมนมเนยไปเสียหมด ขณะที่ฝ่ายพระลบก็เช่นกัน ศรที่ยิงออกมาหมายสังหารพระรามก็กลับกลายเป็นข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระบิดาไปหมดเช่นกัน ตรงนี้คือความหมายเดิมของคำว่า ศรศิลป์ไม่กินกัน คือ ไม่อาจทำร้ายหรือทำอันตรายต่อกันนั่นเอง
กระทั่งต่อมาจนถึงปัจจุบันนี่แหละ สำนวนนี้จึงเกลื่อนกลายเป็นความหมายในเชิงไม่ถูกกันหรือไม่กินเส้นกันโดยไม่ทราบสาเหตุที่มา ถ้าจะให้เดา ก็น่าจะมาจากการนำมาใช้สับสนปะปนกันกับคำ “ไม่กินเส้น” ซึ่งมาจากตำรานวดแผนไทย หมายถึงการนวดหรือจับเส้นที่ไม่ถูกจุดมากกว่า สำนวน “ไม่กินเส้น”นี้ ยังวิวัฒน์ต่อมาเป็น “เกาเหลากัน” อันมีความหมายในเชิงไม่ถูกชะตากันอีกด้วย
มองในแง่ดี นี่อาจจะถือเป็นวิวัฒน์หรืออุบัติของภาษาไทยอีกแบบหนึ่งก็ได้ นอกเหนือไปจากภาษาเอ็มหรือภาษาในเน็ตที่มีพื้นฐานที่มาจากต้องการความสะดวกรวดเร็วในการพิมพ์ข้อความโต้ตอบกันเป็นหลัก จนกลายเป็นกระแสนิยมในเวลาต่อมา สิ่งที่จำเป็นต้องตระหนักคือ ผู้ใช้ควรยึดหลักภาษาไทยเดิม ๆ ไว้ให้ดี ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะใช้อย่างมักง่ายจนกลายเป็นวิบัติโดยไม่จำเป็น ลองนึกดู...ถ้าต้องเจอคนเขียนแบบนี้ถึงคุณ จะรู้สึกเหนื่อยไหม ขณะที่อ่าน...
"...พวกเราต้องการความรวดเรวมะใช่ ต้องมาพิมตงๆ เช่นจิง ๆ แร้นนู๋เบื่อมั่ก จาหั้ยพิมว่าจริง ๆ แล้วหนูเบื่อ คนรอรับข้อความก้อรากงอกกันพอดี แต่เวลาเราทัมอารัยเปงทางกาน เราก้อไม่ได้ใช้พาสาแบบนี้สักหน่อย อันนี้แค่เปงพาสาที่ใช่เร่น ๆ ก้อแค่นั้น นู๋เปงเด็กนู๋ย่อมเข้าจัยตงนี้มากกว่าป้านะค่ะ นู๋ไม่รุว่าพวกว่าพวกป้า ๆ คิดรัยอยู่ คนเราย่อมมีฟามเข้าจัยที่แตกต่าง ถ้านู๋โต นู๋ก้อจามะเข้าจัยตงนี้ (เด็ก) แค่นู๋จาเข้าจัยตงนั้น(ผู้หยั่ย)..."
**ยุคสมัยมานเปลี่ยนเเปงแร้น มานมีทั้งเด็กแว้ง เด็กปื้ด เด็กแนวฯลฯ ป้าๆทังหลายก้อทัมจัยซะ มานเปงช่วงๆหนึ่งที่ชีวิตมานเปลี่ยนแปง..มานเปลี่ยนเเปง**
สาธุ...ขออย่าได้เจอแบบนี้กับตัวเองเรยยย....อ้าว..เฮ้ย! จบกัน..๕ ๕ ๕
very interesting, thanks for sharing :)
ตอบลบ