ไม่เชื่อก็ลองอ่านหนึ่งในสุดยอดวรรณคดีไทยแห่งยุครัตนโกสินทร์ที่ชื่อ “สามัคคีเภทคำฉันท์” ของท่าน “ชิต บุรทัต” ท่อนนี้ดูซีครับ....
๏ เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน
ก็มาเป็น
ก็มาเป็น
๏ ศึกบถึงและมึงก็ยังมิเห็น จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น
ประการใด
๏ อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ ขยาดขยั้นมิทันอะไร
ก็หมิ่นกู
๏ กลกากะหวาดขมังธนู บห่อนจะเห็นธวัชริปู
สิล่าถอย…ฯลฯ
ลองอ่านออกเสียงดัง ๆ ดูสิ พยายามจับจังหวะและนำหนักของเสียงที่เปล่งออกมา เราอาจสัมผัสได้ถึงสื่ออารมณ์ของผู้พูดที่บริภาษออกมาด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยวระคนผิดหวังรุนแรง ได้อย่างบาดลึกลงไปในจิตใจของคนฟังเลยทีเดียว...
อีกตอนหนึ่ง....
๐ บงเนื้อก็เนื้อเต้น
พิศเส้นสรีร์รัว
ทั่วร่างและทั้งตัว
ก็ระริกระริวไหว
๐ แลหลังละลามโล
หิตโอ้เลอะหลั่งไป
เพ่งผาดอนาถใจ
ระกะร่อยเพราะรอยหวาย…ฯลฯ
ท่อนแรกประพันธ์ในรูปอีทิสฉันท์หรือ อีทิสังฉันท์ ๒๐ ส่วนท่อนหลังคือ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ แต่ทั้งสองท่อน ต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความงามแห่งภาษาศิลป์ที่สะท้านสะเทือนอารมณ์ได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย..
นอกจากความเป็นภาษาวรรณศิลป์ที่ให้เสียงประดุจท่วงทำนองดนตรีโดยธรรมชาติแล้ว นิสัยเจ้าบทเจ้ากลอนของคนไทยเราเองก็มีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้ภาษาไทยมีวิวัฒนาการสืบเนื่องต่อมาไม่หยุดยั้ง ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นเด่นชัดคือความนิยมในการพูดจาประสาสร้อยคำจนติดปาก เช่น หนังสือหนังหา..เข้าอกเข้าใจ...ไม่รู้ไม่ชี้ เวล่ำเวลา...อาบน้ำอาบท่า...ล้างมือล้างไม้...กินหยูกกินยา...วิตกวิจาร...กำชับกำชา...กระดูกกระเดี้ยว....มืดมน..รถรา..ผ้าผ่อน..มากมาย..ไวไฟฯลฯ หรือแม้แต่ภาษาปากประเภท กาฟงกาแฟ..กินเกิน..เดินแดน..หิวเหิว..ปวดแปด..ร้องแร้ง..นับแน๊บ..
คิดเคิ้ด..ฯลฯ คำเหล่านี้ล้วนจัดอยู่ในลักษณะของสร้อยคำทั้งสิ้นสร้อยคำนี้บางครั้งอาจเรียกว่าเป็นคำอุทานเสริมบทหรือเรียกสั้น ๆ ว่า คำเสริม ก็ได้ เพราะมีจุดประสงค์ในการใช้เพื่อขยายคำพูดและการสื่อสารให้ชัดเจน กระชับ และสละสลวยขึ้น มีข้อน่าสังเกตสำหรับลักษณะเฉพาะของคำเหล่านี้คือ แม้แยกคำออกจากกันคำหลักก็ยังคงความหมายเดิมพอที่จะเข้าใจได้อยู่ เช่น หนังสือหนังหา...ตัดคำว่า หนังหาออก อาบน้ำอาบท่า..ตัดคำว่าอาบท่าออก กำชับกำชา..ตัดคำว่ากำชาออก รถรา..ตัดคำว่าราออก ไวไฟ..ตัดคำว่าไฟออกไป คำทุกคำก็ยังคงความหมายเป็นที่เข้าใจอยู่ดี โดยคำที่ถูกตัดออกไปไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด
คำอุทานเสริมบทที่ทำหน้าที่ในลักษณะคำเสริมนี้บ่อยครั้งที่ทำหน้าที่คล้ายสะพานทอดเชื่อมสัมผัสระหว่างคำจนกลายเป็นคำคล้องจองคล่องปากขึ้นมาตัวอย่างเช่นคำว่าสิงสาราสัตว์...วัดวาอาราม...
ลูกเต้าเหล่าใคร...พิธีรีตอง...ฤกษ์ผานาที...เฒ่าชะแรแก่ชรา...หน้านิ่วคิ้วขมวด...ถ้วยโถโอชาม...ถ้วยชามลามไห..ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งกลับกลายเป็นความงอกงามทางภาษาให้มีวิวัฒนาการในการสร้างสรรค์คำใหม่ ๆ ขึ้นมานอกเหนือไปจากการใช้ คำคู่, คำซ้ำ, คำซ้อน เป็นแนวทางในการสร้างคำที่ใช้สื่อภาษาและอารมณ์ในภาษาไทยอีกเป็นส่วนใหญ่ซึ่งคงจะต้องยกยอดไปอธิบายในตอนต่อไปเนื่องจากมีความสำคัญและข้อควรสังเกตหลายประการที่ไม่อาจละเลย
มีสร้อยคำอีกชนิดหนึ่งที่เป็นคำอุทานเสริมบทเช่นกัน มักนิยมใช้ต่อท้ายในคำประพันธ์ร้อยกรองประเภทร่ายและโคลงเพื่อเสริมคำประพันธ์ให้จบครบสมบูรณ์ตามกรอบฉันทลักษณ์ คำอุทานชนิดนี้ ผู้รู้บางท่านให้ชื่อว่า คำสร้อย เพื่อให้ต่างจากสร้อยคำที่เป็นคำอุทานเสริมบทอีกแบบหนึ่ง เนื่องจากคำสร้อยใช้เรียกจำกัดเฉพาะคำลงท้ายบทประพันธ์ที่เติมลงไปให้ครบพยางค์ตามบังคับแบบฉันทลักษณ์เท่านั้น โดยไม่มีความหมายของคำเพิ่มขึ้นมาแต่ประการใด เช่น ฮา..เฮย...เอย..นา...รา...แล
อะไรทำนองนี้เป็นต้นตัวอย่างคำสร้อยนี้ นอกจากจะพบในร่ายสุภาพที่บังคับฉันทลักษณ์ให้จบความด้วยโคลงสองแล้ว ยังมักพบเห็นเสมอ ๆ ในโคลงสี่สุภาพเพื่อให้เกิดความลงตัวในถ้อยความ ดังจะขอหยิบยกมาให้ดูเป็นตัวอย่างพอเข้าใจ...
๐ พระพี่พระผู้ผ่าน ภพอุต - ดมเอย
ไปชอบเชษฐ์ยืนหยุด ร่มไม้
เชิญราชร่วมคชยุทธิ์ เผยอเกียรติ ไว้แฮ
สืบกว่าสองเราไสร้ สุดสิ้นฤๅมีฯ
จากบทท้ารบสุดคลาสสิกก่อนทรงทำยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรครับ พระนิพนธ์ใน สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่ายไพเราะเพราะพริ้งสำหรับคำประพันธ์ในรูปโคลง
ผสมร่าย เรื่องนี้ มีเวลาน่าจะหาโอกาสสัมผัสความงามของภาษาที่ท่านใช้สักครั้ง ใช่แต่กลอนที่หวานได้ โคลงนั้นไซร้ก็หวานเป็น ไม่เชื่อก็ลองดูบทนี้สิครับ
๐ อบเชยอบชื่นชี้ เฌอสม ญาฤๅ
อบว่าอรอบรม รื่นเร้า
อบเชยพี่เชยชม กลิ่นอบ เฌอนา
อบดั่งอบองค์เจ้า อบให้เรียมเชย
เพราะเสียไม่มีละ....จริงมั้ยครับ
คงต้องต่อกันอีกสักตอน เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับหน้าทีและพัฒนาการของคำ
ในภาษาไทยของเรา...
Cool
ตอบลบ