-->

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

นิทานชวนเพลิน 🦅 เรื่อง "นกแสงตะวัน"

นิทานหน้าจอ  นกแสงตะวัน  https://planetpt.blogspot.com/ฤดูหนาวปีนั้นช่างยาวนานเหลือ เกิน   ยาวนาน เสียจนท้องทุ่งเขียวขจี อันเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์นานาชนิด   ต้องเปลี่ยนแปลงไป  ทุกหนทุกแห่งกลับกลายเป็นสีขาวโพลนของหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น  แผ่คลุมความหนาวเย็นอันร้ายกาจกินอาณาบริเวณไปไกลแสนไกล

     สัตว์ต่าง ๆ พากันอพยพหนีหนาวไปจนสิ้น  บ้างที่หนีหนาวไม่ทัน    ก็ค่อย ๆ ทยอยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก  ส่วนที่เหลืออยู่ก็อ่อนล้าโรยแรงลงไปทุกที  แม้แต่นกอินทรี ผู้ได้ชื่อว่า ราชาแห่งท้องทุ่งกว้าง  ก็ยังทนท้าความหนาวเย็นไม่ไหว  จำยอมละทิ้งความหยิ่งผยอง  ทิ้งตัวจากยอดไม้ลงมานอนฟุบอยู่กับกองหิมะอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

         ห่างออกไปตรงชายเนิน  นกแซงแซวกับนกกาเหว่านอนทอดตัวนิ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน  ไม่มีใครรู้ว่า นกทั้งสองเพียงแค่สลบไสลหรือลาจากโลกนี้ไปแล้ว  แต่ก็นั่นแหละ  ถึงยังมีชีวิตอยู่ก็คงยากที่จะหาความช่วยเหลือจากใครได้  เพราะในยามนี้  ทุกชีวิตล้วนตกอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งนั้น  หนาว  เหนื่อย  และหิว  สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คือ  ประคองชีวิตให้รอด  เพื่อรอให้ฤดูหนาวอันทารุณนี้ได้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว

นิทาน   นกแสงตะวัน        เจ้านกแสงตะวัน  มองความเป็นไปบนท้องทุ่งกว้างแห่งนี้ด้วยความเศร้าใจ  มันรู้สึกสงสารเพื่อนนกที่กำลังถูกทำร้ายจากความหนาวเย็นเป็นยิ่งนัก  ตัวมันเอง โชคดีที่ทิ้งถิ่นไปหากินทางใต้เสียนาน  โดยไม่ทันล่วงรู้มาก่อนว่าจะกลับมาเจอสภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้เข้า   ในตอนแรก  มันตั้งใจจะบินผ่านเลยไปเหมือนกับเพื่อน ๆ ของมัน  แต่เมื่อเหลือบเห็นเป็ดป่าฝูงหนึ่งกำลังดิ้นกระเสือกกระสนอยู่เหนือผิวน้ำ ที่กำลังแข็งตัวอยู่เบื้องล่าง  หมายที่จะโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง  มันจึงตัดสินใจบินแยกจากฝูงลงมาเกาะบนยอดไม้บริเวณนั้น  และเพียงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ    นกแสงตะวันก็พอจะคาดเดาได้ว่า  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุ่งกว้างแห่งนี้ ร้ายแรงเกินกว่าที่มันจะนิ่งเฉยอยู่ได้


นิทานหน้าจอ   นกแสงตะวัน


        "นี่ถ้าไม่มีใครทำอะไรสักอย่างละก็  คงไม่มีใครเหลือรอดไปแน่ ๆ"  นกแสงตะวันคิด  พลางขยับปีกอย่างไม่สบายใจ ที่เห็นเพื่อนนกหลายต่อหลายตัวนอนขดกายอยู่ท่ามกลางกองหิมะ   ขณะที่ตัวเองยังแข็งแรงพอที่จะเกาะคอนบนยอดไม้อยู่เพียงลำพัง

     นกแสงตะวันขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง  จึงโผลงมาหานกนางแอ่นตัวหนึ่ง ที่กำลังกระถดตัวเข้าหาที่กำบังใต้โคนไม้ที่มันเกาะอยู่  มันกางปีกโอบคลุมตัวนกนางแอ่น  ให้ความอบอุ่นอยู่ชั่วขณะ  แล้วเอ่ยถามว่า  มีหนทางใดที่มันพอจะช่วยเหลือเพื่อน ๆ  ได้บ้าง



        "ฉันก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก"  นกนางแอ่นขยับตัวพลางตอบอย่างอ่อนแรงนิทาน >> นกแสงตะวัน "  แต่เคยได้ยินนกอินทรีเขาว่า พอมีทางอยู่เหมือนกัน   ถ้ามีใครสามารถบินขึ้นไปเอาเปลวไฟจากดวงอาทิตย์มาได้  แต่ใครจะกล้า  ใครล่ะจะมีแรงพอที่จะบินได้สูงขนาดนั้น"  นกนางแอ่นรำพึงด้วยความรู้สึกท้อแท้

       เอาละ ๆ  ทำใจดี ๆ เข้าไว้  เดี๋ยวฉันจะลองไปถามนกอินทรีเขาดูอีกที  รักษาเนื้อ  รักษาตัวให้ดีนะ นกนางแอ่น  ยังไง ๆ  มันก็ไม่มีทางเลวร้ายไปกว่านี้แล้วละ"  นกแสงตะวันปลอบ  ก่อนโผไปหานกอินทรีที่นอนอยู่ไม่ไกลนัก

        จริงอย่างที่นางแอ่นว่า   นกอินทรีเล่าเรื่องที่เคยรับรู้มาตั้งแต่เด็ก ที่ปู่ย่าเคยเล่าให้ฟังถึงความ โหดร้ายทารุณของอากาศแบบเดียวกันนี้  และนกอินทรีหนุ่มผู้กล้าหาญตัวหนึ่ง  เคยพยายามที่จะบินขึ้นไปเก็บเกี่ยวเปลวแห่งแสงตะวันมาแล้ว   ไม่มีใครรู้หรอกว่าอินทรีหนุ่มตัวนั้นทำสำเร็จหรือไม่   แต่นั่นก็เป็นตำนานที่ลูกหลานนกอินทรีทุกตัวเคยได้ยินต่อ ๆ กันมา  ก่อนหน้านี้  ตัวมันเองก็ได้พยายามแล้วเหมือนกัน  แต่น่าเสียดายที่ดวงอาทิตย์อยู่สูงเกินไป  และนกอินทรีเองก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะบินต่อไปไหว  จึงต้องยอมแพ้เสียก่อน

       นกแสงตะวันรับฟังวีรกรรมอันห้าวหาญของอินทรีหนุ่มด้วยความสนใจ  มันรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจในสิ่งที่บรรพบุรุษนกอินทรีเคยทำเป็นอย่างยิ่ง  บัดนี้..มันรู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไป เพื่อเป็นการช่วยเหลือเพื่อน ๆ ที่กำลังนอนรอคอยวาระสุดท้ายของชีวิต  แม้ว่าสิ่งที่มันจะทำต่อไปนี้จะเป็นงานที่ยากเย็นแสนสาหัสก็ตาม

นิทาน >> นกแสงตะวัน
ดอกหญ้าดอกเล็ก ๆ แข่งกันแทงยอดขึ้นมาราวกับเกรงว่าความหนาวเหน็บจะหวนกลับมาขับไล่   นกแสงตะวันแหงนมองท้องฟ้า  แล้วโผบินขึ้นไป   สูงขึ้น  สูงขึ้น  สูงขึ้นเรื่อย ๆ  ผ่านทะลุม่านเมฆหนาทึบ ทีละชั้น ๆ  จนเริ่มบางเบาลงทุกขณะ  ในจิตใจมีแต่ความคิดที่จะบิน  บิน  และบินไปจนกว่าจะถึงดวงตะวันที่ทอแสง เจิดจ้าอยู่ไกล ๆ    หมายเพียงเก็บเกี่ยวกิ่งไฟ  มาบรรเทาความหนาวเย็นบนพื้นโลกให้จงได้   หลายต่อหลายครั้งที่มันหมดเรี่ยวแรงขยับปีก   จนต้องปล่อยตัวให้ร่วงหล่นลงมา  แต่ภาพของเพื่อน ๆ ผู้ทุกข์ยากที่ปรากฎขึ้นมาในความคิด   ก็กลับเป็นแรงผลักดันให้ปีกทั้งสองขยับกระพือต่อไป  สูงขึ้นไป   สูงขึ้นไป  อย่างไม่ยอมหยุดยั้ง

        แล้วในที่สุด   รางวัลแห่งความพยายามก็มาถึง บินพุ่งเข้าหาเปลวตะวันสุดแรงเกิด หมายที่จะคว้าเศษเสี้ยวของดวงตะวัน มันเริ่มรู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่แผดพุ่งเข้ามาหาตัว ร้อนแรงยิ่งขึ้น   ทุกขณะที่มันบินพุ่งทะยานเข้าหา  อีกครั้ง ที่มันเริ่มวิตก  ไม่แน่ใจว่าจะทำสิ่งที่มันพยายามต่อไปได้   แต่แล้ว  ภาพอันไร้สติของเพื่อน ๆ ที่อยู่เบื้องล่าง   ก็ทำให้ความลังเลของมันหมดไป  มันตัดสินใจบินพุ่งเข้าหาเปลวตะวันสุดแรงเกิด  หมายที่จะคว้าเศษเสี้ยวของดวงตะวันให้ได้ แม้เพียงน้อยนิด  ก่อนที่จะทิ้งตัวลงสู่พื่นโลก  แต่ทว่าสำนึกสุดท้ายของมันก็พลันดับวูบไปเสียก่อน  โดยไม่ทันแม้แต่จะบอกลาเพื่อน ๆ ของมันด้วยซ้ำ...

ร่างอันลุกโชนด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงของดวงตะวันร่วงหล่นจากฟ้า        ร่างอันลุกโชนด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงของดวงตะวันร่วงหล่นจากฟ้า  พุ่งดิ่งลงมาราวกับก้อนไฟลูกหนึ่ง   สีแดงฉานของมัน แม้จะดูไม่ใหญโตอะไรนัก 
 แต่ก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดสีสันสว่างไสว  งดงามอย่างน่าประหลาด  ยามที่ตกลงมายังท้องทุ่งหิมะสีขาวโพลน   ที่น่าอัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้นก็คือ  ทันทีที่ร่างของนกแสงตะวันที่ถูกโอบคลุมไว้ด้วยเปลวตะวันอันร้อนระอุตกต้องกระทบพื้น    หิมะรอบ ๆ  ร่างของมันก็ค่อย ๆ หลอมละลายแผ่บริเวณกว้างขยายออกไปทีละน้อย  พร้อม ๆ กับช่วยปลุกหลาย  ชีวิตที่หลับไหลไปกับความหนาวเย็น  ให้ฟื้นตื่น คืนความสดชื่นอีกครั้ง

    ดอกหญ้าดอกเล็ก ๆ แข่งกันแทงยอดขึ้นมา  ราวกับเกรงว่าความหนาวเหน็บจะหวนกลับมาขับไล่ให้มันต้องหลบไปซ่อนตัวอยู่ใต้ดินอีกครั้ง  เช่นเดียวกับพืชพรรณไม้นานาชนิด  ที่ต่างก็ชักชวนกันแต่งตัวออกมาชมโลก  แลดูสวยสะพรั่งไปทั่วทั้งบริเวณ

        หนอนผีเสื้อ ที่ล้วนหลบซ่อนอยู่ในเกราะดักแด้  ต่างพากันเจาะเปลือกหุ้ม  แปลงร่างเป็นผีเสื้อแสนสวยหลากสีบินว่อนไปทั่ว  ฝูงนกที่นอนซุกตัวรอความตายอยู่ทามกลางกองหิมะ  ก็กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ เมื่อไออุ่นแผ่ไปถึง  ต่างโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า  ส่งเสียงร้องเริงร่าต้อนรับชีวิตใหม่กันเซ็งแซ่อึงคนึง

ฝูงนกต่างโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่งเสียงร้องเริงร่าต้อนรับชีวิตใหม่กันเซ็งแซ่อึงคนึง         จะมีก็แต่เพียงนกอินทรี  นางแอ่น  กับเพื่อนนกอีกไม่กี่ตัวเท่านั้น  ที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความโศกเศร้าอยู่ลึก ๆ เพราะรู้ดีว่า  ความชื่นบานของชีวิตที่ได้กลับคืนมานั้น  มิได้เกิดขึ้นมาเองแต่อย่างใด  หากต้องแลกกับชีวิตของเพื่อนของมันตัวหนึ่ง  ซึ่งยอมเสียสละตนอย่างกล้าหาญ  เพื่อความอยู่รอดของทุกชีวิตที่นี่

เหลือไว้แต่เพียงเรื่องราวแห่งความทรงจำถึง..นกแสงตะวัน         นกแสงตะวันจากลาไปแล้ว  พร้อมกับความหนาวเย็นอันทารุณร้ายกาจ   และความหนาวเย็นเยี่ยงปีนั้นก็มิได้เยี่ยมกรายมายังท้องทุ่งแห่งนี้อีกเลย  คงเหลือไว้แต่เพียงเรื่องราวแห่งความทรงจำ  ถึงนกแสงตะวันที่ยังคงขับขานเล่า สืบต่อกันมา  ในหมู่นกแห่งท้องทุ่งแถบนั้น

       ทุก ๆ ฤดูร้อน  ยามที่ดอกไม้เริ่มผลิบาน  นกทั้งหลายจะพากันบินว่อนเต็มท้องฟ้า  ส่งเสียงร้องเพลงไพเราะ  เพื่อต้อนรับความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต และแน่ละ  หนึ่งในบรรดาบทเพลงเหล่านั้น   ก็คือบทเพลงสดุดีความกล้าหาญของนกแสงตะวัน   ผู้ชุบชีวิตใหม่ให้แก่ท้องทุ่งแห่งนี้....


นิทานหน้าจอ...แสนสนุก

3 ความคิดเห็น:

  1. เป็นนิทานที่ประทับใจยิ่ง ภาพประกอบก็สวยงามค่ะ ฝีมือใครคะ

    ตอบลบ
  2. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  3. ฝีมือเด็กศิลปากรชื่อ "เทพฤทธิ์ คำดี" เป็นคนที่สำนักพิมพ์ปลาตะเพียนจัดหามาวาดภาพประกอบเรื่องให้ ส่วนเทคนิคประกอบภาพ ทำเองจ้ะ...(เล่มนี้ได้รางวัลหนังสือดีสำหรับเด็กประถมฯด้วยนะ อิอิ)

    ตอบลบ

โพสต์แนะนำ

สาระนิทาน ชุด ไม้ไทยใจดี 🍽 เรื่อง "ข.ข้าว ขาว ขาว"

เขียวเอย...เขียวพรมผืนใหญ่ ใครมาถักทอไว้ แลไกลสุดตา  เจียวเอย... ตัวฉันนั่นไง  ใบ ข้าว เขียวเขียว ยืนต้นเดี่ยวเดี่ยว  ร...