สัตว์ต่าง ๆ พากันอพยพหนีหนาวไปจนสิ้น บ้างที่หนีหนาวไม่ทัน ก็ค่อย ๆ ทยอยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ส่วนที่เหลืออยู่ก็อ่อนล้าโรยแรงลงไปทุกที แม้แต่นกอินทรี ผู้ได้ชื่อว่า ราชาแห่งท้องทุ่งกว้าง ก็ยังทนท้าความหนาวเย็นไม่ไหว จำยอมละทิ้งความหยิ่งผยอง ทิ้งตัวจากยอดไม้ลงมานอนฟุบอยู่กับกองหิมะอย่างสิ้นเรี่ยวแรง
ห่างออกไปตรงชายเนิน นกแซงแซวกับนกกาเหว่านอนทอดตัวนิ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ไม่มีใครรู้ว่า นกทั้งสองเพียงแค่สลบไสลหรือลาจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ถึงยังมีชีวิตอยู่ก็คงยากที่จะหาความช่วยเหลือจากใครได้ เพราะในยามนี้ ทุกชีวิตล้วนตกอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งนั้น หนาว เหนื่อย และหิว สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คือ ประคองชีวิตให้รอด เพื่อรอให้ฤดูหนาวอันทารุณนี้ได้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว
เจ้านกแสงตะวัน มองความเป็นไปบนท้องทุ่งกว้างแห่งนี้ด้วยความเศร้าใจ มันรู้สึกสงสารเพื่อนนกที่กำลังถูกทำร้ายจากความหนาวเย็นเป็นยิ่งนัก ตัวมันเอง โชคดีที่ทิ้งถิ่นไปหากินทางใต้เสียนาน โดยไม่ทันล่วงรู้มาก่อนว่าจะกลับมาเจอสภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้เข้า ในตอนแรก มันตั้งใจจะบินผ่านเลยไปเหมือนกับเพื่อน ๆ ของมัน แต่เมื่อเหลือบเห็นเป็ดป่าฝูงหนึ่งกำลังดิ้นกระเสือกกระสนอยู่เหนือผิวน้ำ ที่กำลังแข็งตัวอยู่เบื้องล่าง หมายที่จะโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง มันจึงตัดสินใจบินแยกจากฝูงลงมาเกาะบนยอดไม้บริเวณนั้น และเพียงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ นกแสงตะวันก็พอจะคาดเดาได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุ่งกว้างแห่งนี้ ร้ายแรงเกินกว่าที่มันจะนิ่งเฉยอยู่ได้
"นี่ถ้าไม่มีใครทำอะไรสักอย่างละก็ คงไม่มีใครเหลือรอดไปแน่ ๆ" นกแสงตะวันคิด พลางขยับปีกอย่างไม่สบายใจ ที่เห็นเพื่อนนกหลายต่อหลายตัวนอนขดกายอยู่ท่ามกลางกองหิมะ ขณะที่ตัวเองยังแข็งแรงพอที่จะเกาะคอนบนยอดไม้อยู่เพียงลำพัง
นกแสงตะวันขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงโผลงมาหานกนางแอ่นตัวหนึ่ง ที่กำลังกระถดตัวเข้าหาที่กำบังใต้โคนไม้ที่มันเกาะอยู่ มันกางปีกโอบคลุมตัวนกนางแอ่น ให้ความอบอุ่นอยู่ชั่วขณะ แล้วเอ่ยถามว่า มีหนทางใดที่มันพอจะช่วยเหลือเพื่อน ๆ ได้บ้าง
"ฉันก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก" นกนางแอ่นขยับตัวพลางตอบอย่างอ่อนแรง " แต่เคยได้ยินนกอินทรีเขาว่า พอมีทางอยู่เหมือนกัน ถ้ามีใครสามารถบินขึ้นไปเอาเปลวไฟจากดวงอาทิตย์มาได้ แต่ใครจะกล้า ใครล่ะจะมีแรงพอที่จะบินได้สูงขนาดนั้น" นกนางแอ่นรำพึงด้วยความรู้สึกท้อแท้
เอาละ ๆ ทำใจดี ๆ เข้าไว้ เดี๋ยวฉันจะลองไปถามนกอินทรีเขาดูอีกที รักษาเนื้อ รักษาตัวให้ดีนะ นกนางแอ่น ยังไง ๆ มันก็ไม่มีทางเลวร้ายไปกว่านี้แล้วละ" นกแสงตะวันปลอบ ก่อนโผไปหานกอินทรีที่นอนอยู่ไม่ไกลนัก
จริงอย่างที่นางแอ่นว่า นกอินทรีเล่าเรื่องที่เคยรับรู้มาตั้งแต่เด็ก ที่ปู่ย่าเคยเล่าให้ฟังถึงความ โหดร้ายทารุณของอากาศแบบเดียวกันนี้ และนกอินทรีหนุ่มผู้กล้าหาญตัวหนึ่ง เคยพยายามที่จะบินขึ้นไปเก็บเกี่ยวเปลวแห่งแสงตะวันมาแล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่าอินทรีหนุ่มตัวนั้นทำสำเร็จหรือไม่ แต่นั่นก็เป็นตำนานที่ลูกหลานนกอินทรีทุกตัวเคยได้ยินต่อ ๆ กันมา ก่อนหน้านี้ ตัวมันเองก็ได้พยายามแล้วเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ดวงอาทิตย์อยู่สูงเกินไป และนกอินทรีเองก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะบินต่อไปไหว จึงต้องยอมแพ้เสียก่อน
นกแสงตะวันรับฟังวีรกรรมอันห้าวหาญของอินทรีหนุ่มด้วยความสนใจ มันรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจในสิ่งที่บรรพบุรุษนกอินทรีเคยทำเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้..มันรู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไป เพื่อเป็นการช่วยเหลือเพื่อน ๆ ที่กำลังนอนรอคอยวาระสุดท้ายของชีวิต แม้ว่าสิ่งที่มันจะทำต่อไปนี้จะเป็นงานที่ยากเย็นแสนสาหัสก็ตาม
แล้วในที่สุด รางวัลแห่งความพยายามก็มาถึง มันเริ่มรู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่แผดพุ่งเข้ามาหาตัว ร้อนแรงยิ่งขึ้น ทุกขณะที่มันบินพุ่งทะยานเข้าหา อีกครั้ง ที่มันเริ่มวิตก ไม่แน่ใจว่าจะทำสิ่งที่มันพยายามต่อไปได้ แต่แล้ว ภาพอันไร้สติของเพื่อน ๆ ที่อยู่เบื้องล่าง ก็ทำให้ความลังเลของมันหมดไป มันตัดสินใจบินพุ่งเข้าหาเปลวตะวันสุดแรงเกิด หมายที่จะคว้าเศษเสี้ยวของดวงตะวันให้ได้ แม้เพียงน้อยนิด ก่อนที่จะทิ้งตัวลงสู่พื่นโลก แต่ทว่าสำนึกสุดท้ายของมันก็พลันดับวูบไปเสียก่อน โดยไม่ทันแม้แต่จะบอกลาเพื่อน ๆ ของมันด้วยซ้ำ...
ร่างอันลุกโชนด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงของดวงตะวันร่วงหล่นจากฟ้า พุ่งดิ่งลงมาราวกับก้อนไฟลูกหนึ่ง สีแดงฉานของมัน แม้จะดูไม่ใหญโตอะไรนัก
แต่ก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดสีสันสว่างไสว งดงามอย่างน่าประหลาด ยามที่ตกลงมายังท้องทุ่งหิมะสีขาวโพลน ที่น่าอัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้นก็คือ ทันทีที่ร่างของนกแสงตะวันที่ถูกโอบคลุมไว้ด้วยเปลวตะวันอันร้อนระอุตกต้องกระทบพื้น หิมะรอบ ๆ ร่างของมันก็ค่อย ๆ หลอมละลายแผ่บริเวณกว้างขยายออกไปทีละน้อย พร้อม ๆ กับช่วยปลุกหลาย ชีวิตที่หลับไหลไปกับความหนาวเย็น ให้ฟื้นตื่น คืนความสดชื่นอีกครั้ง
ดอกหญ้าดอกเล็ก ๆ แข่งกันแทงยอดขึ้นมา ราวกับเกรงว่าความหนาวเหน็บจะหวนกลับมาขับไล่ให้มันต้องหลบไปซ่อนตัวอยู่ใต้ดินอีกครั้ง เช่นเดียวกับพืชพรรณไม้นานาชนิด ที่ต่างก็ชักชวนกันแต่งตัวออกมาชมโลก แลดูสวยสะพรั่งไปทั่วทั้งบริเวณ
หนอนผีเสื้อ ที่ล้วนหลบซ่อนอยู่ในเกราะดักแด้ ต่างพากันเจาะเปลือกหุ้ม แปลงร่างเป็นผีเสื้อแสนสวยหลากสีบินว่อนไปทั่ว ฝูงนกที่นอนซุกตัวรอความตายอยู่ทามกลางกองหิมะ ก็กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ เมื่อไออุ่นแผ่ไปถึง ต่างโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่งเสียงร้องเริงร่าต้อนรับชีวิตใหม่กันเซ็งแซ่อึงคนึง
จะมีก็แต่เพียงนกอินทรี นางแอ่น กับเพื่อนนกอีกไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความโศกเศร้าอยู่ลึก ๆ เพราะรู้ดีว่า ความชื่นบานของชีวิตที่ได้กลับคืนมานั้น มิได้เกิดขึ้นมาเองแต่อย่างใด หากต้องแลกกับชีวิตของเพื่อนของมันตัวหนึ่ง ซึ่งยอมเสียสละตนอย่างกล้าหาญ เพื่อความอยู่รอดของทุกชีวิตที่นี่
นกแสงตะวันจากลาไปแล้ว พร้อมกับความหนาวเย็นอันทารุณร้ายกาจ และความหนาวเย็นเยี่ยงปีนั้นก็มิได้เยี่ยมกรายมายังท้องทุ่งแห่งนี้อีกเลย คงเหลือไว้แต่เพียงเรื่องราวแห่งความทรงจำ ถึงนกแสงตะวันที่ยังคงขับขานเล่า สืบต่อกันมา ในหมู่นกแห่งท้องทุ่งแถบนั้น
ทุก ๆ ฤดูร้อน ยามที่ดอกไม้เริ่มผลิบาน นกทั้งหลายจะพากันบินว่อนเต็มท้องฟ้า ส่งเสียงร้องเพลงไพเราะ เพื่อต้อนรับความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต และแน่ละ หนึ่งในบรรดาบทเพลงเหล่านั้น ก็คือบทเพลงสดุดีความกล้าหาญของนกแสงตะวัน ผู้ชุบชีวิตใหม่ให้แก่ท้องทุ่งแห่งนี้....
นิทานหน้าจอ...แสนสนุก
ดอกหญ้าดอกเล็ก ๆ แข่งกันแทงยอดขึ้นมา ราวกับเกรงว่าความหนาวเหน็บจะหวนกลับมาขับไล่ให้มันต้องหลบไปซ่อนตัวอยู่ใต้ดินอีกครั้ง เช่นเดียวกับพืชพรรณไม้นานาชนิด ที่ต่างก็ชักชวนกันแต่งตัวออกมาชมโลก แลดูสวยสะพรั่งไปทั่วทั้งบริเวณ
หนอนผีเสื้อ ที่ล้วนหลบซ่อนอยู่ในเกราะดักแด้ ต่างพากันเจาะเปลือกหุ้ม แปลงร่างเป็นผีเสื้อแสนสวยหลากสีบินว่อนไปทั่ว ฝูงนกที่นอนซุกตัวรอความตายอยู่ทามกลางกองหิมะ ก็กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ เมื่อไออุ่นแผ่ไปถึง ต่างโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่งเสียงร้องเริงร่าต้อนรับชีวิตใหม่กันเซ็งแซ่อึงคนึง
จะมีก็แต่เพียงนกอินทรี นางแอ่น กับเพื่อนนกอีกไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความโศกเศร้าอยู่ลึก ๆ เพราะรู้ดีว่า ความชื่นบานของชีวิตที่ได้กลับคืนมานั้น มิได้เกิดขึ้นมาเองแต่อย่างใด หากต้องแลกกับชีวิตของเพื่อนของมันตัวหนึ่ง ซึ่งยอมเสียสละตนอย่างกล้าหาญ เพื่อความอยู่รอดของทุกชีวิตที่นี่
นกแสงตะวันจากลาไปแล้ว พร้อมกับความหนาวเย็นอันทารุณร้ายกาจ และความหนาวเย็นเยี่ยงปีนั้นก็มิได้เยี่ยมกรายมายังท้องทุ่งแห่งนี้อีกเลย คงเหลือไว้แต่เพียงเรื่องราวแห่งความทรงจำ ถึงนกแสงตะวันที่ยังคงขับขานเล่า สืบต่อกันมา ในหมู่นกแห่งท้องทุ่งแถบนั้น
ทุก ๆ ฤดูร้อน ยามที่ดอกไม้เริ่มผลิบาน นกทั้งหลายจะพากันบินว่อนเต็มท้องฟ้า ส่งเสียงร้องเพลงไพเราะ เพื่อต้อนรับความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต และแน่ละ หนึ่งในบรรดาบทเพลงเหล่านั้น ก็คือบทเพลงสดุดีความกล้าหาญของนกแสงตะวัน ผู้ชุบชีวิตใหม่ให้แก่ท้องทุ่งแห่งนี้....
เป็นนิทานที่ประทับใจยิ่ง ภาพประกอบก็สวยงามค่ะ ฝีมือใครคะ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบฝีมือเด็กศิลปากรชื่อ "เทพฤทธิ์ คำดี" เป็นคนที่สำนักพิมพ์ปลาตะเพียนจัดหามาวาดภาพประกอบเรื่องให้ ส่วนเทคนิคประกอบภาพ ทำเองจ้ะ...(เล่มนี้ได้รางวัลหนังสือดีสำหรับเด็กประถมฯด้วยนะ อิอิ)
ตอบลบ