-->
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กวีการเมือง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กวีการเมือง แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2566

บทกวี >> เราจะไปทางไหนกัน

บทกวี - planetp

เราจะไปทางไหนกัน...

เมื่อตะวันบอกลาฟ้าใส

เมฆคลุ้มกลุ้มสรวงทวงไทย

ลองไนหริ่งหรีดกรีดร้อง

มืดมนหนทางกลางเถื่อน

ห่างเพื่อนห่วงภัยทั้งผอง

หมดแล้วรุ่งสางทางทอง

ไม่มีพี่มีน้องแล้วบัดนี้

เหลือแต่ลมแล้งแห่งรัก

พัดใจให้ประจักษ์ทุกที่

กราดเกรี้ยวโบกสะบัดพัดวี

เพลงมารอึงมี่อวลเมือง

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทกวี >> สองมือแม่นี้ที่สร้างโลก

บทกวี  วันสตรีสากล

ถูก!...เธอเป็นผู้หญิงก็จริงอยู่
 แต่เธอคือนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ 
ในมือสองมีแรงคอยแกว่งไกว 
และเป็นขวัญกำลังใจให้ชายชม 

แปลกอะไรชายหรือหญิงล้วนสิ่งสร้าง 
ที่แตกต่างเพียงกายที่เสพสม 
มีเลือดเนื้อมีชีวามีอารมณ์ 
มีเคียวคมแห่งปัญญาค่าเหมือนกัน 

ใครอ่อนโยนเข้มแข็งหรือแกร่งกว่า 
ก็แค่คำกล่าวหาด้วยเดียดฉันท์ 
ตราบท้องฟ้าอาทิตย์ยังคู่จันทร์ 
ความสำคัญคือยังอยู่เป็นคู่ชิด 

ใครเท้าหน้าเท้าหลังก็ช่างเท้า 
ทุกการก้าวเท้าทั้งสองต่างครองสิทธิ์ 
ที่จะเดินที่จะย่ำนำชีวิต 
ตามแต่จิตคิดหวังที่ตั้งมา 

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บทกวี >> ขยะ

บทกวี >> ขยะ

จะนิ่งเฉยอยู่ทำไมหนอใจเจ้า
ในน้ำเน่ายังมีจันทร์ให้ฝันหรือ
สองมือเจ้าก็แคล่วคล่องทั้งสองมือ
ไยไม่รื้อร่องวิบัติให้พลัดไป

ในน้ำเน่าเงาจันทร์สิงก็จริงอยู่
แต่คงความหดหู่หรือมิใช่
เมื่อขยะปฏิกูลพอกพูนไทย
ขยะในใจคนก็ล้นตาม

ก่อกาลีผีร้ายย่างกรายเกลื่อน
ให้แปดเปื้อนประชาชนอีกล้นหลาม
ต้องจำยอมจ่อมจมสังคมทราม
กับสำนึกเหยียดหยามประณามตน

ที่ทนทานทบท่าวระทมทุกข์
สาละวนเสพสุขทั้งใจหม่น
ปล่อยเมฆร้ายผลาญพร่าฟ้าเบื้องบน
ให้ฟ้าหมองเยี่ยมยลแต่อนธกาล

วันนี้แสงเรื่อเรืองแห่งเมืองรุ้ง
เริ่มทิ้งคุ้งโค้งระยับกลับถึงบ้าน
เคืองระคายแค้นคามาเนิ่นนาน
กลับฉายฉานปรัศนีย์ที่ควรคิด

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> บานประตู

บทกวี  บานประตู   https://planetpt.blogspot.com/

บานประตูมีไว้ให้เปิดกว้าง 
ใช่แค่เพียงอำพรางซ่อนบางสิ่ง 
หรือจำนนพ่ายแพ้อย่างแท้จริง 
จึงปิดตายไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น 

บานประตูมีไว้ใช่แค่แง้ม 
หากยังถูกแต่งแต้มด้วยสีสรรพ์ 
ที่รอการเปิดไขใช่ทางตัน 
แต่คือก้าวสำคัญสู่โลกงาม 

ถึงรั้วหนากล้าแกร่งกำแพงกั้น 
ก็ไม่อาจหยุดฝันอันไหวหวาม 
เพราะหัวใจนักสู้ทุกผู้นาม 
ไม่เคยหยุดติดตามหาตัวตน
 
ตราบรำเพยแห่งสายลมยังพรมพัด 
ไม้ยังผลัดใบบังยังร่วงหล่น 
กระแสแห่งศักดิ์ศรีเสรีชน 
ย่อมว่ายวนรี่ไหลในสำนึก
 
เมื่อแสงทองส่องเตือนการเคลื่อนไหว 
แสงก็ส่องห้องหัวใจให้รู้สึก 
สะทกสะท้อนวามวู่อยู่ลึกลึก 
ให้ตริตรึกลึกซึ้งถึงทางควร

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> วิหคแห่งใจ

บทกวี >> วิหคแห่งใจ

เพราะความจริงไม่เหมือนกับนิยาย
และไม่คล้ายดังละคอนย้อนบทเก่า
จึงหวาดไหวใจสะท้านอยู่นานเนา
กับเงื้อมเงาวิปโยคและโชคร้าย

เราเดินมาไกลมากจากจุดเริ่ม
แปลบหัวใจดวงเดิมแสนเหน็ดหน่าย
เห็นแต่ความย่อยยับปนอับอาย
กับความล่มแหลกสลายของบ้านเมือง

บางทีการผ่านพ้นจึงค้นพบ
ภาพผู้คนยอมสยบราวสัตว์เชื่อง
ไม่ขัดขวาง ไม่ว้าวุ่น ไม่ขุ่นเคือง
นิ่งมันเสียทุกเรื่องเซื่องเซื่องไป

หยั่งรากลึกในอากาศเฝ้าวาดหวัง
คงสักครั้งรพิพรรณฉายวันใหม่
ระบายรุ่งรุ้งสวยช่วยอวยชัย
ขจัดภัยพ่ายแพ้แก่แผ่นดิน

การเดินทางกลางเถื่อนเหมือนไม่จบ
จึงพานพบเพียงคมลมบาดหิน
ไร้ความหมายไร้ค่าไร้ราคิน
ลมหายใจรวยรินเหมือนสิ้นแรง

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทกวี >> คือกรวดเม็ดหนึ่ง

แค่กรวดเม็ดหนึ่ง
กูก็แค่กรวดเม็ดหนึ่ง
ซึ่งปริแยกแตกจากภูผา
จองจำเนิ่นผ่านกาลเวลา
ปรารถนาใดใดไป่มี

วันหนึ่งฟ้าอับดาวก็กราวก้อง
กู่ร้องฝนฟ้าอึงมี่
เพิงผาพลันพ่ายพับปฐพี
ครืนกระชากซากธุลีเกรียวกรู

กึกก้องกัมปนาทกราดเกรี้ยว
น้ำเชี่ยวโซรมซัดสาดซู่
กรวดก้อนซอนซับรับรู้
กูกระอักเกินกล้ำลำเค็ญ

ถัดถั่งท่องนทีรี่ไหล
ไปตามกระแสสินธุ์เตลิดเต้น
เกลือกกลิ้งทบท่าวหนาวเย็น
เคืองเข็ญคับแค้นแน่นใน

กูคือผู้แพ้แน่หรือ
กูล้า..รามือใช่ไหม
หรือกร้าวหรือแกร่งเกินไป
จึงน้ำโลมไล้เกลากลึง

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทกวี >> รัฐธรรมนูญฉบับ..ตูเอง

รัฐธรรมนูญฉบับ..ตูเอง
มาตราหนึ่ง..ประเทศไทยมิใช่หนึ่ง
แต่จะต้องแบ่งครึ่งให้ถึงสอง
และต้องมีตัวกูเป็นผู้ครอง
ตีตราจองของใหม่ใหม่ได้คล่องมือ

มาตราสอง..ต้องมีประชาธิปไตย
ในเงื่อนไข..ยอมตามและห้ามหือ
พร้อมยอมทนสนตะพายคล้ายกระบือ
แลกกับซื่อคืออด..คดคือรวย

มาตราสาม..ห้ามมีตุลาการ
ที่ประจานคนจัญไรไม่เล่นด้วย
มาตราสี่..รัฐสภาต้องเฮงซวย
ยกมือช่วยรัฐบาลทุกกรณี

มาตราห้า...โทษอาญายังมีได้
แต่ต้องดูหน้าใครให้ถ้วนถี่
มาตราหก..การค้าต้องเสรี
แต่กูมีสิทธิควบมารวบเอา

มาตราเจ็ด...บุคคลมีเสรีภาพ
ที่จะงาบ...ที่จะเลว...ที่จะเผา
มาตราแปด...การศึกษาแต่วัยเยาว์
ต้องสอนให้โง่เขลาให้เชื่อฟัง

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> ต้นกล้าประชาภิวัฒน์

                เรามาไกลเกินกว่าหันหน้ากลับ จึงควรยิ้มต้อนรับการเมืองใหม่
เรามาไกลเกินกว่าหันหน้ากลับ
จึงควรยิ้มต้อนรับการเมืองใหม่
เพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย
สู่ธรรมาธิปไตยในโลกา

ผิดนักหรือที่จะถางทางกำหนด
เพื่อจัดวางอนาคตในวันหน้า
เพื่อการเมืองไม่ต้องชี้ที่ราคา
ไร้เบื้องหลังเบื้องหน้ามารวบรัด

พอกันทีอัปรีย์ไป จัญไรมา
พอกันทีกับหมูหมาสารพัดสัตว์
พอกันทีประชาธิปไตยแบบไล่ยัด
หยุดวิบัติแผ่นดินเสียบัดนี้

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> คารวะนักสู้

บทกวี >> คารวะนักสู้
คารวะนักสู้ผู้กล้าก้าว
ซึ่งปวดร้าวกับความจริงสิ่งที่เห็น
เมื่อสังคมวันนี้มีอันเป็น
เธอตอบแทนผู้ทุกข์เข็ญเหมือนเช่นเคย


กลางความวิปโยคโศกสมัย
ในหัวใจคนจริงยากนิ่งเฉย
ทุกเวลานาทีที่ผ่านเลย
ยิ่งเฉยเมยหนามเสนียดยิ่งเสียดแทง


กาลกิณีผีร้ายที่ร่ายร้อง
ขยับกรับขับทำนองเสียดแสยง
ปฎิกูลอวดกลิ่นกล้าท้าลมแรง
ยิ่งดาลเสียงสาปแช่งให้แผลงฤทธิ์


เมื่่อสาวเท้าก้าวหนึ่งหรือครึ่งก้าว
จะก้าวยาวก้าวสั้นนั่นเป็นสิทธิ์
แต่ที่หมายจักหดสั้นวันละนิด
และชีวิตย่อมสมฝันในบั้นปลาย

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> สื่อมารชน

สื่อมารชน  กระดาษเปื้อนหมึก
เคยเป็นเช่นกระจกเงาทุกเช้าตรู่
ส่องสัญญาณการรับรู้ผู้คนเห็น
ฉายความทุกข์ปลุกสำนึกอันลึกเร้น
จนโดดเด่นได้ชื่อ ‘สื่อสาระ’

สร้างมติมหาชนบนหยาดหมึก
จารบรรทึกสรรพปัญญาวิสาสะ
เหมือนแสงทองส่องทางสร้างพันธะ
โดยสัจจะปกปักคคนางค์

จนคืนร้าว...
แล้วจันทร์แรมก็ลัดหาวอยู่ไม่ห่าง
ขับอุษาคอยเยือนให้เลื่อนราง
ปล่อยหมอกเมฆขุ่นคว้างเข้ารุมเมือง

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> เมืองคนดิบ


ใครบางคนอาจกำลังยืนหัวร่อ แต่เรามีเหตุผลพอจะร่ำไห้

ใครบางคนอาจกำลังยืนหัวร่อ
แต่เรามีเหตุผลพอจะร่ำไห้
กับหลายสิ่งที่เห็นที่เป็นไป
ด้วยสมเพชประเทศไทยในยามนี้

เกิดวิบัติประหัตชาติถึงอาจล่ม
การโค่นล้มดำเนินเกินหลีกหนี
ภาพตำตาสารพัดสัตว์อัปรีย์
หมายราวีรัฐวอดมิเว้นวัน

เมื่อชั่ว..โง่..ดื้อ..บ้า..มากันครบ
โลกก็ถึงจุดจบทุกสิ่งสรรพ์
ราวชีวิตพลัดหลงถูกลงทัณฑ์
ตกนรกนิรันดร์ทั้งลืมตา

เหมือนกันหมด..มองทางไหนไร้ที่หวัง
โลกสูญพลังแห่งธรรมมานำหน้า
เกลื่อนโขยงโกงกันไปโกงกันมา
ปลุกระดมปัญญาแค่หายัด

บทกวี >> โลก..ชีวิต.. รัตติกาล

บทกวี >> โลก..ชีวิต.. รัตติกาล
เป็นเพียงความรู้สึกอันลึกซึ้ง
ครุ่นคำนึงด้วยแรงปรารถนา
พริ้วผ่านห้วงทะเลแห่งเวลา
ไม่อาจราเริศร้างเหมือนอย่างเคย

เราหลงทางมาแต่ไหนเมื่อไหร่นี่
จึงวันนี้สะทกสะเทือนเกินเอื้อนเอ่ย
ดอกไม้หอมจรุงกลิ่นอันชินเชย
นิจจาเอ๋ยไยชืดหอมจืดจาง

ดอกโมกบานเกลื่อนกล่นบนต้นโมก
สลัดกลีบวิปโยคอยู่ไม่สร่าง
พรมขาวหม่นทอดนิ่งอยู่ริมทาง
สลายร่างบางเบาเหงาระยับ

กับราตรีว่างเปล่าชวนเศร้าหมอง
สัมผัสเพียงแสงทองของอัจกลับ
มาเฉิดฉายโลมลูบจนวูบวับ
ก่อนลาลับจับแจ้งแสงอรุณ

คว้าง..คว้าง ใบไม้ปลิว
ลอยละลิ่วหมุนคว้างกลางน้ำขุ่น
กระไออวลกระอักอุกเร่ซุกซุน
ละม้ายหุ่นร่อนเร่ชเลชล

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> ขอสันติผลิบานตระการหล้า

ขอสันติผลิบานตระการหล้า
ขอเมตตากระอวลไอแผ่ไพศาล
ขอความรักแรเงาเคล้าดวงมาน
ขอสายธารแห่งน้ำใจไหลเรื่อยริน

ขอทุกข์ยากขวากหนามสยามรัฐ
เคียวสายลมพรมพัดวิบัติสิ้น
ขอไพร่ฟ้าหน้าหมองของแผ่นดิน
จงมีกินมีค่าประสาคน

ขอความต่างจะอย่่างไรเหมือนไม่ต่าง
ไม่ทิ้งขว้างขอบเขตของเหตุผล
ขอทุกข์เข็ญแค้นคาตำตาตน
อย่ามาเยือนแย้มให้ยลกันอีกเลย

ขอความดีคือความหวังคนทั้งโลก
รับสุขโศกโชคชตาอย่างผ่าเผย
ขอนิยามคำว่า “เพื่อน” เหมือนอย่างเคย
ยามเอื้อนเอ่ยอย่าหวานปากถากด้วยตา

ขอรอยยิ้มไมตรีจิตมิตรภาพ
กรุ่นกำซาบกลางทรวงแกมห่วงหา
ขอพลังพลุ่งโดยแรงแห่งศรัทธา
เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่าอย่าสั่นคลอน

ขอคนโลภรู้จักพอไม่ก่อโลภ
รู้จุนเจือเอื้อโอบเมืองผุกร่อน
ขอคลองธรรมมรรคาคืออาภรณ์
ผลประโยชน์ทับซ้อนขอห่างไกล

ขอได้ไหมแผ่นดินนี้หากมีรัก
ขอตระหนักพลัดดวงก็ร่วงได้
ขอดอกไม้ธรรมาธิปไตย
บานสะพรั่งกลางใจไทยทุกคน./

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> เปลี่ยน

ฤาถึงคราฟ้าเปลี่ยนสี อเวจีจึงกล้ากร้าว
เปลี่ยนถูกให้เป็นผิด
เปลี่ยนยาพิษเป็นอาหาร
เปลี่ยนดีเป็นดิบด้าน
เปลี่ยนนรกานต์เป็นธรรมา

เปลียนธุลีให้มีศักดิ์
เปลี่ยนความรักเป็นคลั่งบ้า
เปลี่ยนชั่วเป็นวิชา
เปลี่ยนศรัทธาเป็นอาจม

เปลี่ยนแผ่นดินเป็นสินทรัพย์
เปลี่ยนสรรพสัตว์ให้ขื่นขม
เปลี่ยนยิ้มใสให้ตรอมตรม
เปลี่ยนโลกกลมเป็นโลกกิน

เปลี่ยนสะคราญเป็นโสโครก
เปลี่ยนโลกงามให้ทรามสิ้น
เปลี่ยนความหวังให้พังภินท์
เปลี่ยนร่มเย็นเป็นร้อนร้าว

ฤาถึงคราฟ้าเปลี่ยนสี
อเวจีจึงกล้ากร้าว
เด็ดดึงถึงดวงดาว
แสยะยิ้มเพลินฉิมพลี...ฯ

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> มือที่ถือปากกา

มือที่ถือปากกามีค่านัก
มือที่ถือปากกามีค่านัก
ทุกรอยลักษณ์อักษรสะท้อนสิ่ง
จะเบนบิดหรือน้อมนำไขความจริง
ย่อมเอนอิงตามนิมิตแห่งจิตตน

จิตใจงามคิดความก็งามหมด
จิตใจคดก็เสื่อมเสียและสับสน
คนเป็นคนคงค่าสมค่าคน
ย่อมไม่จนใจคิดพินิจใจ

ยุคสมัยอันกำกวมต้องกล้าแกร่ง
ต้องชัดเจนแจ่มแจ้งทางที่ใช่
ไม่คลุมเครือหลอนหลอกมีนอกใน
ดังโคมไฟส่องสว่างทางสายงาม

จินตนา..คารม..คมความคิด
ถ้อยวิจิตรจากใจอันไหวหวาม
ซึ่งส่งผ่านอารมณ์เป็นคมความ
ต้องกล้าถามกล้าท้าทุกท่าที

เพื่อเผยทางสร้างสรรค์ตะวันรุ่ง
ขับม่านหมอกวันพรุ่งทุกถิ่นที่
ส่องเสี้ยนหนามรกชัฎในปัฐพี
เพื่อหลบลี้้และหาทางแผ้วถางมัน

ปากกาอาจขาดพลังไม่ดังมาก
แต่เมื่อปากต่อปากอยากรังสรรค์
เสียงก็ไพเราะดังเป็นรางวัล
อาจส่งฝันถึงวันใหม่ให้เป็นจริง

มือที่ถือปากกามีค่านัก
หากรู้จักพิทักษ์ธรรมนำทุกสิ่ง
หากบิดเบือนสัจจะหมายละทิ้ง
มันก็ยิ่งกว่าขยะสวะคน!



๑๙ กันย์ ‘๕๕
เยี่ยมชม ๐ Page...http://www.facebook.com/RaPhiPhchra?ref=hl


วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

บทกวี >> แม่วงก์....แม่สะอื้น

เขียวขื่นกี่หมื่นเขียว โดนคมเขี้ยวเลื่อยยนต์บั่น
ขันแข็งแข่งเขมือบ
แล้วฝูงเหลือบก็รุมเข่น

ฟาดฟัดอย่างจัดเจน
บทผีดิบในดวงใจ

แม่วงก์..แม่สะอื้น
แม่จะยืนอยู่ตรงไหน
กลางฝุ่นและฟอนไฟ
หื่นตัณหาแห่งมานุษย์

แมงเกลื้อนแมลงกลาก
โผล่สำรากไม่หย่อนหยุด
มอดไม้ก็เร่งมุด
เขมือบไม้กันมุบมิบ

ป่าไม้ต้องรักษา
ปากก็ว่าตาขยิบ
เขม้นหมายไม่กระพริบ
แล้วป่าใหญ่ก็หายวับ


แลกสวยด้วยเขื่อนสูง
มยูรยูงอีกสัตว์สรรพ
ชีวิตอนันต์นับ
พินาศยับลงฉับพลัน


เขียวขื่นกี่หมื่นเขียว
โดนคมเขี้ยวเลื่อยยนต์บั่น
เพื่อคนกี่คนกัน
จึงสวรรค์ต้องวอดวาย

ฤาไทยต้องเลยเถิด
เตลิดล่มจนจมหาย
เมื่อนกรู้ต่างดูดาย
ไม่พร้อมพบสยบมัน...ฯ



วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> คืนเหงา

เห็นตำตา..ตาจึงจำ..ไว้ตำใจ.
มาเพื่อชื่นดวงดาวพร่างพราวฟ้า
มาเพื่อทอดเวลาหาเหตุผล
มาเพื่อหลบหน้าหมองของผู้คน
มาเพื่อพ้นเงาทะมื่นที่กลืนเมือง

โอ้ละหนอ..ความดีที่หล่นหาย
กลับกลืนกลายเป็นเลวเสียทุกเรื่อง
แหงนมองฟ้าฟ้าเหงาเงาเรื่อเรือง
เหมือนซ่อนเคืองอัดอั้นกับฝันร้าย

คืนวันนี้..วันนั้น..หรือวันไหน
ล้วนจัญไรเจิดแจรงไม่แหนงหน่าย
สารพัดสารภัยก็ไล่ราย
เหลือเพียงเพลงสุดท้ายจะร่ายพิษ

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> เมืองใด...

เมืองใดไร้ชื่อเรื่องซื่อตรง  จะเชิดหน้าทระนง...อย่าหวังเลย
เมืองใดไร้ซึ่งสิ่งพึงมี...
ย่อมขาดไร้ศักดิ์ศรีและคุณค่า
เมืองใดไร้ผู้ควรบูชา
ก็ได้แต่รอเวลาที่ดับลง

เมืองใดไร้ซึ่งทหารหาญ
ก็รอวันแหลกลาญเป็นผุยผง
เมืองใดไร้ชื่อเรื่องซื่อตรง
จะเชิดหน้าทระนง...อย่าหวังเลย

เมืองใดไร้ธรรมเป็นอำนาจ
กลับยอมรับทรราชย์หน้าตาเฉย
ย่อมไม่อาจอยู่เย็นเหมือนเช่นเคย
เหลือแต่ความเฉยเมยในแววตา

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> ด้วยรัก....ที่รานร้าว

เอามีดมากรีดน้ำ
แล้วก็ย่ำย้ำรอยเก่า
มีแผลก็แค่เกา
สร้างบทนำคือจำยอม….

เหมือนละครน้ำครำดูซ้ำซาก
เห็นแต่ฉากรวยรูปจูบไม่หอม
วาทศิลป์กล่อมเกลี้ยงเผดียงดอม
หวังเพียงน้อมผู้คนให้ทนดู

จะปรองดองต้องปองดีเป็นที่ตั้ง
เพราะเสียงสั่งของหัวใจให้อดสู
ต่อความหมายพ่ายพับที่รับรู้
หรือตัวกูพวกกูอยู่ต่อไป

เชื่อมั่นประเทศไทย...ให้ใครเชื่อ
ถ้าตัวเองไม่เหลือความยิ่งใหญ่
ยอมระย่อต่อระยำที่ตำใจ
หวังเพียงขั้นบันไดของตนเอง

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> ประเทศไทยต้องไม่แพ้...??


ภาพวันนั้น...มันหายไปไหน
ภาพวันนั้น...มันหายไปไหน
รอยยิ้มจริงใจเกลื่อนใบหน้า
เด็กน้อยจูงมือมารดา
พ่อค้าแม่ขายรายทาง

เมืองแก้วร้างแก้วแล้ววันนี้
คลื่นคนขวัญหนีอยู่ไม่สร่าง
กัมปนาทเสียงปืนครืนคราง
ผนึกความอ้างว้างแก่ผู้คน

นี่คือเมืองพระ...เมืองพุทธ
ที่มนุษย์ฆ่ามนุษย์ทุกแห่งหน
และไม่ใช่สงครามประชาชน
แต่เป็นแค่เหตุผล...คนอยากทราม

กับสังคมเน่าเน่าสังคมนี้
เหมือนไม่มีคำตอบทุกคำถาม
มีแต่ “เงิน”และ “งก” คือความงาม
ให้ติดตามตาเห็นไม่เว้นวาย

แล้วจะมีหวังใดให้ได้หวัง
ในเมื่อพลังขับเคลื่อนต่างสูญหาย
เกลื่อนเจ้าที่เจ้าทางไร้ยางอาย
พร้อมส่งผ่านความหมายตายทั้งเป็น

มืดกว่าคืนเดือนมืด...มืดสนิท
ทุกชีวิตเหยาะย่างกลางของเหม็น
ไร้สัญญาณการเยือนของเดือนเพ็ญ
นอกจากหนาวเยียบเย็นและอ่อนล้า

วันนี้...พรุ่งนี้...หรือพรุ่งไหน
จึงไทยคือไทยได้สมค่า
มิใช่เมืองยิ้มคือมายา
กับคาถา..ประเทศไทยต้องไม่แพ้.




โพสต์แนะนำ

สาระนิทาน ชุด ไม้ไทยใจดี 🍽 เรื่อง "ข.ข้าว ขาว ขาว"

เขียวเอย...เขียวพรมผืนใหญ่ ใครมาถักทอไว้ แลไกลสุดตา  เจียวเอย... ตัวฉันนั่นไง  ใบ ข้าว เขียวเขียว ยืนต้นเดี่ยวเดี่ยว  ร...