ย้อนความหลังครั้งเก่าเงาอดีต ทั้งจารีตประเพณีที่สูญหาย
อีกสีสรรพ์วรรณคดีที่พริ้งพราย กับลวดลายนิทานเนิ่นนานมา
เพราะหนังสือถูกทัพดิสรัปชั่น มาห้ำหั่นจนสูญหายไปต่อหน้า
จึงสืบสานพอให้รู้ผ่านหูตา ตามประสาคนเก่า..อยากเล่าให้ฟัง...
คงจะมีคนสงสัยกันบ้างว่า ทำไมกวีเอกอย่างสุนทรภู่ถึงได้รับการยอมรับและยกย่องกันเป็นอย่างมาก ทั้งที่ไทยเรามีกวีฝีมือเยี่ยมและวรรณคดีชั้นครูอยู่มากมาย วันนี้ เราจะมาดูกันว่า กระบวนกลอนสุนทรภู่มีความโดดเด่นอย่างไร ถึงทำให้ท่านยืนหนึ่งตลอดมา…..
รื่นไหลดังสายน้ำ
งดงามด้วยลีลา
อหังการ์เปี่ยมล้น
แยบยลในการเล่า
ปลุกเร้าจินตนาการ
แตกฉานในสัมผัส
เด่นชัดในในอารมณ์
อุดมสุภาษิต
สื่อชีวิตแนบเนียน
เขียนภาษาตลาด
ปราชญ์แห่งการใช้คำ
บางที นี่อาจจะเป็นบทสรุปงานของท่านภู่หรือสุนทรภู่ที่เรารู้จักกันดีในฐานะกวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านถือเป็นกวีสี่แผ่นดิน คือเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ แล้วมีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงรัชกาลที่ ๔ ท่านเกิดและเติบโตมาในรั้ววังหลัง เพราะมีแม่เป็นข้าหลวงอยู่ในวัง ตอนที่ท่านเริ่มโตเป็นโจ๋อยู่แถววังหลังนั้น เป็นช่วงต้นรัชกาลที่ ๒ ที่ถือกันว่าเป็นยุคทองของวรรณคดีไทย เพราะสังคมเริ่มสงบ เริ่มฟื้นตัวจากพิษสงครามกับพม่า มีการติดต่อค้าขายกับฝรั่ง แขก จีน ไทยไปทั่วกรุงสยามสมัยนั้น ท่านสุนทรภู่คงมีโอกาสคลุกคลีกับนักเดินทางและคนเรือสินค้าที่ขึ้นล่องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามา ท่านจึงซึมซับความรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากโลกภายนอกอย่างกว้างขวาง ประกอบกับในรั้ววังหลังก็คงมีการละเล่น ร้องรำทำเพลงกันเป็นประจำ เช่น เล่าขานวรรณคดี ขับเสภา เล่นกลอนสักวา การละครฟ้อนรำ บรรเลงมโหรีปี่พาทย์ สิ่งเหล่านี้ สุนทรภู่คงคุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อรวมกับนิสัยรักเรียนเขียนอ่านของท่าน จึงไม่แปลกอะไรที่ท่านจะมีความรู้แตกฉานด้านการใช้ภาษาและสามารถนำออกมาใช้อย่างเชี่ยวชาญ…
ทีนี้ มาดูกันทีละข้อว่ากลอนของสุนทรภู่มีความโดดเด่นอย่างไร