-->
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ร้อยรสบทกวี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ร้อยรสบทกวี แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

บทกวี >> แม่วงก์....แม่สะอื้น

เขียวขื่นกี่หมื่นเขียว โดนคมเขี้ยวเลื่อยยนต์บั่น
ขันแข็งแข่งเขมือบ
แล้วฝูงเหลือบก็รุมเข่น

ฟาดฟัดอย่างจัดเจน
บทผีดิบในดวงใจ

แม่วงก์..แม่สะอื้น
แม่จะยืนอยู่ตรงไหน
กลางฝุ่นและฟอนไฟ
หื่นตัณหาแห่งมานุษย์

แมงเกลื้อนแมลงกลาก
โผล่สำรากไม่หย่อนหยุด
มอดไม้ก็เร่งมุด
เขมือบไม้กันมุบมิบ

ป่าไม้ต้องรักษา
ปากก็ว่าตาขยิบ
เขม้นหมายไม่กระพริบ
แล้วป่าใหญ่ก็หายวับ


แลกสวยด้วยเขื่อนสูง
มยูรยูงอีกสัตว์สรรพ
ชีวิตอนันต์นับ
พินาศยับลงฉับพลัน


เขียวขื่นกี่หมื่นเขียว
โดนคมเขี้ยวเลื่อยยนต์บั่น
เพื่อคนกี่คนกัน
จึงสวรรค์ต้องวอดวาย

ฤาไทยต้องเลยเถิด
เตลิดล่มจนจมหาย
เมื่อนกรู้ต่างดูดาย
ไม่พร้อมพบสยบมัน...ฯ



วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> คืนเหงา

เห็นตำตา..ตาจึงจำ..ไว้ตำใจ.
มาเพื่อชื่นดวงดาวพร่างพราวฟ้า
มาเพื่อทอดเวลาหาเหตุผล
มาเพื่อหลบหน้าหมองของผู้คน
มาเพื่อพ้นเงาทะมื่นที่กลืนเมือง

โอ้ละหนอ..ความดีที่หล่นหาย
กลับกลืนกลายเป็นเลวเสียทุกเรื่อง
แหงนมองฟ้าฟ้าเหงาเงาเรื่อเรือง
เหมือนซ่อนเคืองอัดอั้นกับฝันร้าย

คืนวันนี้..วันนั้น..หรือวันไหน
ล้วนจัญไรเจิดแจรงไม่แหนงหน่าย
สารพัดสารภัยก็ไล่ราย
เหลือเพียงเพลงสุดท้ายจะร่ายพิษ

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> เมืองใด...

เมืองใดไร้ชื่อเรื่องซื่อตรง  จะเชิดหน้าทระนง...อย่าหวังเลย
เมืองใดไร้ซึ่งสิ่งพึงมี...
ย่อมขาดไร้ศักดิ์ศรีและคุณค่า
เมืองใดไร้ผู้ควรบูชา
ก็ได้แต่รอเวลาที่ดับลง

เมืองใดไร้ซึ่งทหารหาญ
ก็รอวันแหลกลาญเป็นผุยผง
เมืองใดไร้ชื่อเรื่องซื่อตรง
จะเชิดหน้าทระนง...อย่าหวังเลย

เมืองใดไร้ธรรมเป็นอำนาจ
กลับยอมรับทรราชย์หน้าตาเฉย
ย่อมไม่อาจอยู่เย็นเหมือนเช่นเคย
เหลือแต่ความเฉยเมยในแววตา

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บทกวี >> ฤาโลกนี้มีแต่ฝันอันเหลือร้าย

นี่คือการทวงสิทธิ์ครั้งสุดท้าย เพื่อสืบลมหายใจให้พี่น้อง
ฤาโลกนี้มีแต่ฝันอันเหลือร้าย
ทุกสิ่งจึงดูสายไม่เหลือสวย
ฤาดิน ลม น้ำ ฟ้า ถึงคราม้วย
จึงโลกรวยความทุกข์ขุกเข็ญนัก

แก้วเจ้าจอม บานบุรี คลี่กลีบหม่น
ชเลชลฝูงปลาผวาหนัก
พรมพฤกษาร่ำไห้ยามทายทัก
หรือโลกนี้ป่วยหนักจนรักล้า

จึงมีแต่การทำลายไม่วายเว้น
มีแต่การฆ่าเข่นทุกหย่อมหญ้า
ทั้งผีเสื้อ เนื้อ หนอน สกุณา
ล้วนย่อยยับอัปราเพราะมือเรา

ฤาโลกนี้ไม่มีคนดีแล้ว
เพชรจึงไม่พราวแพรวเหมือนก่อนเก่า
ฤาความดีมัวไล่งับจับเงื้อมเงา
จนซึมเศร้า ดีไม่ได้.. ไปไม่เป็น

เหลือเพียงการวาดหวังที่ยังอยู่
เหลือเพียงแค่ทนดูทนรู้เห็น
อยากยืนรับลมชื่นคืนเดือนเพ็ญ
อยากกล่อมโลก ใจเย็นเย็น.. อย่าเพิ่งตาย

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> ด้วยรัก....ที่รานร้าว

เอามีดมากรีดน้ำ
แล้วก็ย่ำย้ำรอยเก่า
มีแผลก็แค่เกา
สร้างบทนำคือจำยอม….

เหมือนละครน้ำครำดูซ้ำซาก
เห็นแต่ฉากรวยรูปจูบไม่หอม
วาทศิลป์กล่อมเกลี้ยงเผดียงดอม
หวังเพียงน้อมผู้คนให้ทนดู

จะปรองดองต้องปองดีเป็นที่ตั้ง
เพราะเสียงสั่งของหัวใจให้อดสู
ต่อความหมายพ่ายพับที่รับรู้
หรือตัวกูพวกกูอยู่ต่อไป

เชื่อมั่นประเทศไทย...ให้ใครเชื่อ
ถ้าตัวเองไม่เหลือความยิ่งใหญ่
ยอมระย่อต่อระยำที่ตำใจ
หวังเพียงขั้นบันไดของตนเอง

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บทกวี >> เขาใหญ่...ในห้วงสนธยา


แผ่นดินนี้พอเพียงเลี้ยงคนขาด แต่ไม่อาจอุ้มโอบคนโลภได้
ซึ่งได้เป็นความหลังแล้วทั้งสิ้น
คือความรัก แรงถวิลและห่วงหา
ไม่มีแล้วดอกไม้ในแววตา
เหลือเพียงแค่ราคาระหว่างคน

ลมร้อนอ้าวร้าวระรุมขึ้นสุมฟ้า
อวิชชาเสียดแทงทุกแห่งหน
ผืนแผ่นดินโฉ่ฉาวด้วยคาวคน
ทรชนยืดร่างอย่างผู้ดี

ปัญญานำพาคนให้พ้นทุกข์
แต่ถึงคราวทุรยุคบดขยี้
คุณธรรมคุณระยำสองคำนี้
เหมือนไม่มีความหมายแตกต่างกัน

เราจะไปไหนกันในวันพรุ่ง
เมื่อทุกคนต่างมุ่งขยายฝัน
จนมองข้ามทุกข์ทนของชนชั้น
ผู้เหลือสิทธิ์แบ่งปันแค่ฝันร้าย

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> ประเทศไทยต้องไม่แพ้...??


ภาพวันนั้น...มันหายไปไหน
ภาพวันนั้น...มันหายไปไหน
รอยยิ้มจริงใจเกลื่อนใบหน้า
เด็กน้อยจูงมือมารดา
พ่อค้าแม่ขายรายทาง

เมืองแก้วร้างแก้วแล้ววันนี้
คลื่นคนขวัญหนีอยู่ไม่สร่าง
กัมปนาทเสียงปืนครืนคราง
ผนึกความอ้างว้างแก่ผู้คน

นี่คือเมืองพระ...เมืองพุทธ
ที่มนุษย์ฆ่ามนุษย์ทุกแห่งหน
และไม่ใช่สงครามประชาชน
แต่เป็นแค่เหตุผล...คนอยากทราม

กับสังคมเน่าเน่าสังคมนี้
เหมือนไม่มีคำตอบทุกคำถาม
มีแต่ “เงิน”และ “งก” คือความงาม
ให้ติดตามตาเห็นไม่เว้นวาย

แล้วจะมีหวังใดให้ได้หวัง
ในเมื่อพลังขับเคลื่อนต่างสูญหาย
เกลื่อนเจ้าที่เจ้าทางไร้ยางอาย
พร้อมส่งผ่านความหมายตายทั้งเป็น

มืดกว่าคืนเดือนมืด...มืดสนิท
ทุกชีวิตเหยาะย่างกลางของเหม็น
ไร้สัญญาณการเยือนของเดือนเพ็ญ
นอกจากหนาวเยียบเย็นและอ่อนล้า

วันนี้...พรุ่งนี้...หรือพรุ่งไหน
จึงไทยคือไทยได้สมค่า
มิใช่เมืองยิ้มคือมายา
กับคาถา..ประเทศไทยต้องไม่แพ้.




วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> ฤาสยามไร้ผู้รู้หน้าที่



คือความวิปโยคโศกสมัย ประกาศความป่วยไข้ไปทุกแห่ง
คือความวิปโยคโศกสมัย
ประกาศความป่วยไข้ไปทุกแห่ง
เมื่อธรรมะใสพิสุทธิ์หยุดแสดง
ปล่อยกาลีแก่งแย่งสำแดงตน

หรือคนกล้า คนดีไม่มีแล้ว
เหลือแต่กาตาแววผู้สับสน
บริกรรมพร่ำคาถาว่าอดทน
ให้ปวงชนสิ้นหวังทุกครั้งครา

หรือคนดีอยู่ไม่ได้ในเมืองนี้
โลกไม่มีหลักประกันให้คนกล้า
หรือสิ้นสุดกระแสยุติธรรมา
ความชั่วช้าสามานย์จึงพล่านนัก

ปล่อยอัปรีย์ผีร้ายสยายร่าง
เกลื่อนกร่างตำใจให้ติดปลัก
เพื่อนไทยพาไทยให้แล้งรัก
แจ้งประจักษ์เต็มตาก็ครานี้

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

บทกวี >> ก่อนจะถึงปลายทาง


ร้อยรสบทกวี...ก่อนจะถึงปลายทาง
กว่าจะเป็นไม้ใหญ่ได้สักต้น
ต้องต่อสู้ดิ้นรนขนาดไหน
ต้องผ่านลม..ฝน..ฟ้ามาเท่าใด
นก..หนู..หนอน..ชอนไชกี่ภัยพาล

จึงเติบใหญ่ให้เห็นเป็นไม้หลัก
เป็นที่พักที่กินเป็นถิ่นฐาน
ให้ส่ำสัตว์ได้สิงสู่อยู่สุขสราญ
สืบตำนานผู้ให้แห่งไพรเย็น

กว่าเป็นคนเต็มคนสักคนหนึ่ง
กว่าเอื้อมถึงหลักชัยให้เขาเห็น
กว่าเปี่ยมศักดิ์บารมีอย่างที่เป็น
ต้องลำเค็ญแค่ไหนกว่าได้มา

ต้องบ่มเพาะประสบการณ์ทำงานหนัก
ต้องฟันฝ่าอุปสรรคอันหนักหนา
กี่หุบเหว กี่หนาวร้อน กี่อ่อนล้า
จึงสั่งสมบุญญาได้เท่านี้

แล้วไยเล่ายังไม่เข้าใจโลก
ว่าสุขโศกล้วนได้จากใจนี่
แม้อิ่มบุญวาสนามานานปี
ก็หลีกหนีไม่พ้นวงเวียนกรรม

ไยจึงต้องยึดติดนิมิตใหม่
ฝากหัวใจกับคนพาลสันดานต่ำ
ผู้ไร้ค่าแปดเปื้อนแต่เงื่อนงำ
ให้มืดดำในเบื้องท้ายปลายชีวิต

ไม่คิดถึงลูกหลานเลยบ้างหรือ
จึงดึงดื้อดันทุรังสร้างบาปผิด
ให้สายทรามตามตัวไปทั่วทิศ
ตามลิขิตประวัติศาสตร์จักวาดไว้

หยุดเสียเถิด วางเสียเถิด เลิกเสียเถิด
ทางประเสริฐคงรู้อยู่หนไหน
เพื่อบุญของทวยราษฎร์ของชาติไทย
และเพื่อใจไม่ต้องตกนรกนาน...นาน./


บทกวี >> ก่อนจะถึงปลายทาง

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> พลังเงียบ..ต้องไม่เงียบ..!!


พลังเงียบต้องไม่เงียบ ต้องกล้าเหยียบกล้าหยัดยืน
พลังเงียบต้องไม่เงียบ
ต้องกล้าเหยียบกล้าหยัดยืน
ปลุกใจให้ฟื้นตื่น
ด้วยมาดมั่นกระชับมือ

เพลาอนาคต
ถูกกำหนดให้ยึดถือ
จะหงอจะอออือ
หรือกอบกู้เชิดชูธรรม

นี่คือทางสองแพร่ง
ที่ยื้อแย่งชิงการนำ
กี่ถ้อยกี่ร้อยคำ
ก็ไม่สู้หนึ่งใจคิด

เลือกเอาและเลือกเอง
อย่าคร้ามเกรงเพราะเป็นสิทธิ
วันนี้คือชีวิต
จะถูกผิดก็วันนี้

ธำรง “ทรงพระเจริญ”
เพื่อสรรเสริญพลังความดี
หรือปล่อยให้อัปรีย์
มันรื้อบ้านประหารเมือง

เมื่อเลยขีดของเหตุผล
ประสาคนไม่รู้เรื่อง
จาบจ้วงอยู่เนืองเนือง
ควรหรือจะละเว้นมัน

เพื่อนเอ๋ย..พี่น้องเอ๋ย..
อย่าชื่นเชยแต่เพียงฝัน
เมื่อไทยไม่รักกัน
สมานฉันท์ก็ป่วยการ.

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทกวี >> พิทักษ์ธรรม - พิทักษ์ไทย


โลกนี้ดำรงอยู่เพราะผู้กล้า
ผู้สืบทอดเจตนาท้าวิกฤติ
เพราะยึดมั่นคุณธรรมนำชีวิต
จึงอุทิศเพื่อศรัทธาเช่นว่านั้น

ทุกสงครามย่อมมีวีรบุรุษ
ผู้กล้านำกล้ารุดจุดไฟฝัน
เพื่อหล่อหลอมดวงใจให้ร่วมกัน
จู่ประจันอริราชศัตรู

นับเนื่องบุรพกาลนานมาแล้ว
ที่เถื่อนแถวถ่อยทรามมันหยามหลู่
อนารยะรุ่งเรืองและเฟื่องฟู
เหล่ามังกรต้องอดสูเป็นงูดิน

แต่มีไหมสักครั้งจีรังได้
กับอำนาจบาตรใหญ่ที่โหดหิน
ใต้เงื้อมเงาอับอื้อมือทมิฬ
มีหรือจะสูญสิ้นวิญญูชน

ผู้หาญกล้าต่อสู้เยี่ยงผู้กล้า
ผู้ลบบาปคราบน้ำตาดังห่าฝน
ที่เจิ่งนองท้นทับจับกมล
ของผู้คนทั่วผืนแผ่นดินไทย

เหมือนเทียนน้อยถูกจุดท่ามความมืดมิด
ให้ถ้วนทิศเห็นทางสว่างไสว
แม้จุดหมายปลายทางยังห่างไกล
แต่โชนไฟแห่งความหวังก็ยังดี

ต่อให้ใหญ่คับฟ้าถ้าทุศีล
ถ้าป่ายปีนแต่อสัตย์อันบัดสี
ย่อมมีมือนับร้อยนับหมื่นมี
คอยโจมจี้ยื้อยุดฉุดลงมา

ขอมือน้อยมือนี้อีกมือหนึ่ง
เป็นพลังเอื้อมถึงปรารถนา
แห่งกระแสยุติธรรมนำบัญชา
จากเบื้องฟ้ามาย้ำเน้นให้เป็นจริง.

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทกวี >> รักดีต้องกล้าดี...


เพราะใจไม่กล้าชั่ว  และเกลียดกลัวไม่กล้าทำ...
เพราะใจไม่กล้าชั่ว
และเกลียดกลัวไม่กล้าทำ
ธรรมะจึงเพลี่ยงพล้ำ
เหมือนพ่ายแพ้ตลอดมา

ถูกกระทำขยำขยี้
ก็ต่อตีกันซึ่งหน้า
ถูกเขาแกล้งกล่าวหา
ก็เชิดหน้าพร้อมรับกรรม

หัวใจอันกล้าแกร่ง
แม้โรยแรงเพราะถูกย่ำ
คำตอบอาจบอบช้ำ
และผิดหวังทุกครั้งคิด

แต่ใจก็คือใจ
ไม่มีใครกล้าสวมสิทธิ
ชี้นำทางชีวิต
ที่ลิขิตและเลือกเดิน

คนดีจึงกล้าดี
กล้าชวนชี้ที่ควรเมิน
กล้าข้ามทุกโขดเขิน
เพื่อพิสุจน์ถึงเส้นทาง

โลกแห่งอนาคต
จึงปรากฎทุกก้าวย่าง
รอยเท้าที่ทอดวาง
ไม่เคยร้างผู้เดินตาม

เป็นเช่นนี้และเช่นนี้
ตราบยังมีเศษซากทราม
ย่อมมีผู้ก้าวข้าม
และดาหน้าเข้าท้าทาย...


เพราะใจไม่กล้าชั่ว  และเกลียดกลัวไม่กล้าทำ...

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บทกวี >> ลำนำไพร

บทกวี >> ลำนำไพร
พริ้ว พริ้ว ระริวไหว
ลิบลิบรำไรโพ้นผา
สายหมอกเรี่ยรายพรายตา
สกุณาเริงระบำริมบึง

ดุจดั่งภาพวาด
พื้นน้ำสวยสะอาดอัดอึ้ง
อ้อยอิ่งดื่มด่ำคำนึง
อาบเพลงรำพึงของสายลม

ทิวไม้ไหวร่างกลางแดด
โลมแสงสีแสดผสานผสม
ปรุงแต่งธาราอารมณ์
ทอรุ้งพร่างพรมระยิบระยับ

ไม้สูงระดะแซงเสียดยอด
ปรกเถากระหวัดกอดสอดสลับ
เหยียดรากเรื่อเรื้องเนื่องนับ
โจมจับดินสู้พายุร้าย

หวือ..หวือ..กระพือปีกนกฟ้า
แจ้ก..จ้า แจ้ก..จ้า ไม่ขาดสาย
หวิวหวีดหรีดระงมห่มกาย
ร่ายร้องลำนำป่าดง

ระบัดใบคลุมดินทั้งผืน
เหยียดยืนยอดหญ้าระหง
ชื่นชีวิตลิขิตขอทระนง
ยืนยงส่งฟ้าท้าไพร

ใดคือสรรพสิ่ง...
แท้จริงคือจิตยิ่งใหญ่
กำหนดความงาม ความนัย
สดใสลึกซึ้งหนึ่งเดียวฯ

ลำนำไพร

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บทกวี >> กว่าเป็นคนเต็มคน




กว่าจะเป็นไม้ใหญ่ได้สักต้น
ต้องต่อสู้ดิ้นรนขนาดไหน
ต้องผ่านลม..ฝน..ฟ้ามาเท่าใด
ทั้งนกหนอน..ชอนไชกี่ภัยพาล

จึงเติบใหญ่ให้เห็นเป็นไม้หลัก
เป็นที่พักที่กินเป็นถิ่นฐาน
ให้ส่ำสัตว์ได้สิงสู่อยู่สุขสราญ
สืบตำนานผู้ให้แห่งไพรเย็น

กว่าเป็นคนเต็มคนสักคนหนึ่ง
กว่าเอื้อมถึงหลักชัยให้เขาเห็น
กว่าเปี่ยมศักดิ์บารมีอย่างที่เป็น
ต้องลำเค็ญแค่ไหนกว่าได้มา

ต้องบ่มเพาะประสบการณ์ทำงานหนัก
ต้องฟันฝ่าอุปสรรคอันหนักหนา
กี่หุบเหว กี่หนาวร้อน กี่อ่อนล้า
จึงสั่งสมบุญญาได้เท่านี้

แล้วไยเล่ายังไม่เข้าใจโลก
ว่าสุขโศกล้วนได้จากใจนี่
แม้อิ่มบุญวาสนามานานปี
ก็หลีกหนีไม่พ้นวงเวียนกรรม

ไยจึงต้องยึดติดนิมิตใหม่
ฝากหัวใจกับคนพาลสันดานต่ำ
ผู้ไร้ค่าแปดเปื้อนแต่เงื่อนงำ
สให้มืดดำในเบื้องท้ายปลายชีวิต

ไม่คิดถึงลูกหลานเลยบ้างหรือ
จึงดึงดื้อดันทุรังสร้างบาปผิด
ให้สายทรามตามตัวไปทั่วทิศ
ตามลิขิตประวัติศาสตร์จักวาดไว้

หยุดเสียเถิด วางเสียเถิด ไปเสียเถิด
ทางประเสริฐคงรู้อยู่หนไหน
เพื่อบุญของทวยราษฎร์ของชาติไทย
และเพื่อใจไม่ต้องตกนรกนาน...นาน.


วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บทกวี >> รำพึง (ถึงเพื่อน) ในป่าปูน


วันนี้เสกสวรรค์สวรรค์สม
ไยปรารมภ์ถึงวันพรุ่ง
ประคิ่นโลก ประคองรุ้ง
ชั่วกาละขณะนี้


แต่เบื้องดึกดำบรรพ์
ทุกเผ่าพันธุ์มิพ้นผี
ปุบปับก็ลับลี้
ดะด่าวดิ้นกับดินดล

อย่าค้อมยอมใคร 
แม้ใหญ่เกินคน


ยืดกายยอเกศ 
เรืองเดชโดยตน
โดยเหตุโดยผล 
เทียบทิฆัมพร...

หนึ่งหยดน้ำใจให้
เจือเมรัยละเมียดอ่อน
แบ่งปันเอื้ออาทร
ประสาซื่อระหว่างเรา


สวรรค์ชั้นไหนไหน
จะเปรียบได้สองเราเล่า
ดื่ม..ดื่ม ให้มึนเมา
แล้วอุ้มเอาความรักไว้.


วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

บทกวี >> เพลงกล่อมหมาบ้า



เจ้าหมาบ้าเอย... เจ้าหวนกลับมา ว่าจะตีท้ายครัว
น้ำลายฟูมปาก อยากจะฟัดไปทั่ว
ไม่รู้สึกตัว ว่ากำลังคลั่งเอย..


    เจ้าหมาบ้ามาแว้ว...ว..ว เอ้า! รีบแจวรีบหนี
    ขืนชักช้ารอรี ปฐพีคงเปื้อนเลือด

    มันคงฟัดจมเขี้ยว ขย้ำเคี้ยวด้วยดาลเดือด
    หนังจะเถือเนื้อจะเชือด จนลาญเละแหลกเหลว

ใครขืนแหลมเข้ามา ไม่ว่าฟ้าว่าเหว
จะจนดีมีเลว กูกัดไม่เลือกทั้งนั้น

จะฟาดฟัดสะบัดใส่ ให้สาใจอัดอั้น
อุตส่าห์หลบอยู่หลายวัน กว่าได้บ้าสมอยาก

    กูบ้าตามกติกา อย่ามาว่ากูอ้าปาก
    ไม่ต้องถางต้องถาก ว่าปากเหม็นเกินเหตุ

    เหวย! รอช้าอยู่ไย เหล่าหมาไทยหมาเทศ
    หรืออยากลองฤทธิ์เดช เขี้ยวหมาบ้าบี้บด

ทั้งหัวซอยท้ายซอย ต้องตามรอยตามกฎ
ใครแข็งข้อทรยศ ระวังจะอดบำเหน็จ

ตราบยังกัดไม่พอ ตราบยังล่อไม่เสร็จ
ยังตามล้างตามเช็ด ไม่สะเด็ดไม่สะเด่า

    อย่าหวังเลยว่าจะจบ ยอมสยบเลยนะเจ้า
    อย่างน้อยก็หอนเห่า เมาน้ำลายซะให้เข็ด

    จะขอลุยให้สุดลิ่ม จะแทงทิ่มให้ดุเด็ด
    ไม่ว่ากรวดว่าเพชร ไม่เกี่ยงเหล่าเกี่ยงสี

ขอป่วนเมืองอีกครั้ง ให้ตาตั้งกันถ้วนถี่
ใครหมาบ้าหมาดี มาต่อตีเดี๋ยวก็รู้

กูมีพวกคอยเชียร์ ทั้งนักเลียนักขู่
ล้วนพร้อมยอมพันตู เป็นพันธุ์กูทั้งนั้น

    ทั้งเขี้ยวคมเขี้ยวคด เขี้ยวกบฎเขี้ยวสั้น
    ล้วนแต่เชี่ยวเชิงชั้น เรื่องปากมันสัประยุทธ์

    ต่อให้เยี่ยมเทียมฟ้า ต่อให้ห้าเสาผุด
    ไม่ว่าชายว่าตุ๊ด ก็ขอท้า..กูบ้าเว้ย..ย..ย...!!!

เจ้าหมาบ้าเอย.. เจ้าหวนกลับมา ว่าจะชี้สองสถาน
ทางหนึ่งทึ้งเทพ ทางหนึ่งถึงมาร
หงุดหงิดงุ่นง่าน รอกลับบ้านเก่าเอย...

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

บทกวี >> อิทัปปัจจัยตา ๒๕๕๒



บทกวี >> อิทัปปัจจัยตา ๒๕๕๒

เพราะมีสิ่งนี้        จึงมีสิ่งนั้น
เพราะมีความฝัน    จึงมีความหวัง
เพราะมีความรัก    จึงหนักความชัง
เพราะยากเหนี่ยวรั้ง    จึงต้องติงเตือน

ชะลอใจให้หยุดนิ่ง
แล้วความจริงจะเปิดเผย
เวลาที่ผ่านเลย
จักอ้างเอ่ยถึงตัวตน

เรื่องราวบนโลกนี้
ล้วนย่อมมีเหตุและผล
มีค่าประสาคน
ผู้เกิดมาและตายไป

ความดึทึ่หลงทาง
จะสรรค์สร้างอะไรได้
ตีปลาที่หน้าไซ
แค่ฉาบไล้ด้วยลมลวง

สัจจะคือขจัด
สาปอสัตย์ที่หล่นร่วง
กล้าห้ามและถามทวง
ถึงธาตุแท้ทุกทางธรรม

เพียงอยู่นิ่งยังมิหนำ
ขอดค่อนด้วยคาวคำ
ให้ขลาดคว้าไม่กล้าชิง

เป็นกลางแล้ววางเฉย
เหมือนละเลยในบางสิ่ง
อิดออดและทอดทิ้ง
กลบความจริงอันโหดร้าย

แม้ใจจะใฝ่ธรรม
หากหนุนกรรมอันเสียหาย
ก็เงียบเหงาและเปล่าดาย
กวักเมฆร้ายมากลืนเมือง./




วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

บทกวี >> อสมานฉันท์ (๕)



เดินกันคนละที่                     ดีอยู่คนละทาง
เห็นเป็นคนละอย่าง              ต่างไปคนละมุม

รวมจึงกลายเป็นแบ่ง             แย้งกันทีละกลุ่ม
หนาวจึงร้าวระรุม                   สุมสะท้านในทรวง

ถูกกลับกลายเป็นผิด             คิดแล้วน่าเป็นห่วง
ดาวดับทีละดวง                    ร่วงหล่นฟ้าละลาน

ดินกลางดงคนดิบ                 หยิบเอาขึ้นมาหว่าน
สอดเป็นสร้อยสะพาน            สานต่อท่ออธรรม

เจ็บที่ไม่รู้จัก                         รักจึงโลดถลำ
มึนจนหัวคะมำ                      กรรมอีกแล้วละกู

หลุดจากอุ้งมือมาร                 พาลมาเจอตาอยู่
เห็นสมบัติศัตรู                      ดูอยากผลัดกันชม

เรือที่จ้องจะพาย                   กลายกำลังจะล่ม
ผลัดธนานิยม                       ชมอำมาตย์อาชญา

ปาก..ประชาเป็นใหญ่           ใจ...เห็นเป็นขี้ข้า
ที่ไม่ขัดศรัทธา                     ก็คว้าสนองกำนัล

เด็ดเอามาประดับ                 จับเป็นตัวประกัน
เห็นไหมเทพสวรรค์              ปั้นหน้าเรียงสลอน

คราบสุภาพบุรุษ                  หยุดเพราะเกลือเป็นหนอน
ขืนให้ตกตะกอน                  พรจะกลายเป็นพิษ

เด่นจะกลายเป็นด่าง            กร่างจะมาสวมสิทธิ์
สาปจะรุมทั่วทิศ                  ผิดจะมากันครบ

ปล่อยชงเองกินเอง              เกรงจะไม่สงบ
เมืองจะเรืองแนวรบ              หลบอย่างไรไม่พ้น

เพราะไม่หยุดที่อยาก           ลากกันมาแต่ต้น
ขุ่นจึงเคล้าระคน                 ปนกับแค้นคาเคือง

เครียดจะกลายเป็นคลั่ง       ทั้งเสื้อแดงเสื้อเหลือง
กังสดาลงานเมือง                เปลืองและเปล่าปลี้ไป./


วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทกวี >> ค่าราชการ

บทกวี >> ค่าราชการ
โลกวันนี้พัฒนาจนกล้าแกร่ง
เพราะเรี่ยวแรงคนดีช่วยชี้หนุน
มอบหัวใจใฝ่ธรรมคอยค้ำจุน
พร้อมไออุ่นให้กล้าสู้อย่างผู้ดี

บนบันไดสู่สวรรค์วันละก้าว
ต้องผ่านความปวดร้าวในหน้าที่
กี่ครั้งทน กี่หนรับความอัปรีย์
กว่าจะถึงวันนี้ที่ปลายทาง

วันที่โบกมือลาสถานภาพ
ด้วยหัวใจไร้บาปกลิ่นสาบสาง
พร้อมศักดิ์ศรีที่เห็นเด่นรางชาง
โดยสืบสร้างวางหลักนักปกครอง

เมื่อถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
คือถวายสัจจาประกาศก้อง
เราคือข้าราชการของพี่น้อง
และข้าทูลละอองของพระองค์

มีชีวิตเพียงอุทิศเพื่อหน้าที่
ปลูกความดีสัตย์ซื่อคือประสงค์
หวังเพียงรัฐพัฒนาค่ามั่นคง
สุขดำรงสยามรัฐกษัตริย์ไทย

มิใช่ข้ารัฐบาลสันดานโลภ
ผู้ถือครองความละโมบมาเป็นใหญ่
แล้วผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ามาเติมภัย
จนบ้านเมืองบรรลัยไม่เว้นวัน

พรุ่งนี้เป็นอย่างไรยังไม่แน่
แต่คนจริงจะไม่แพ้แม้ถูกหยัน
เพราะหัวใจผู้กล้าคือราชันย์
ที่สวรรค์ต้องอุ้มต้องคุ้มครอง.

บทกวี >> ค่าราชการ

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทกวี >> คนปลูกดอกไม้


บทกวี >> คนปลูกดอกไม้

และแล้วความดีกว่าก็ปรากฎ
แม้ไม่หมดความเขลาเข้ามาเพิ่ม
แต่อย่างน้อยก็ยังมีดีกว่าเดิม
ตรงดีเติมเพิ่มหวังกำลังใจ

บนเวทีที่หมายสุดปลายฟ้า
เธอคือผู้ค้นหาความหมายใหม่
คอยทอดวางสำนึกผนึกใน
เพื่อดอกไม้ดอกใหม่ได้ผลิบาน

หยาดน้ำใสทีละหยดรดใบอ่อน
ดังคำพรประโลมไล้ให้แตกก้าน
หนึ่งเป็นสอง..สองเป็นสี่ คลี่ตระการ
สะท้อนสะท้านสำนึกใหม่ให้มีเป็น

กลางความโลภ โกรธ หลง ประจงจัด
ประคองคัดความดีชี้ให้เห็น
ทีละจุด ทีละแฉก แยกประเด็น
ที่ลี้เร้นเห็นต่างกระจ่างพลัน

เราอาจต่างตามวิถีชีวทัศน์
ซึ่งมีกรอบจำกัดมีขีดขั้น
อาจบอบบางเข้มข้นที่ชนชั้น
แต่มีฝันงดงามทุกความคิด

เนิ่นนานนักหนา...
กงล้อกาลเวลาก่อจริต
เริงระบำร่ำบรรเลงเพลงชีวิต
กว่าสำนึกถูกผิดจะถึงพร้อม

คนปลูกดอกไม้...
เธอก็คือผู้ให้กระไอหอม
กำจายกลิ่นสุขสมให้ดมดอม
ดื่มดวงใจไหวน้อมด้วยยินดี

เธอทำให้คนเห็นเช่นที่หวัง
ยุติธรรมคือพลังแห่งศักดิ์ศรี
ที่มนุษย์ผู่หนึ่งจะพึงมี
และชวนชี้ให้เห็นเป็นความงาม.

โพสต์แนะนำ

สาระนิทาน ชุด ไม้ไทยใจดี 🍽 เรื่อง "ข.ข้าว ขาว ขาว"

เขียวเอย...เขียวพรมผืนใหญ่ ใครมาถักทอไว้ แลไกลสุดตา  เจียวเอย... ตัวฉันนั่นไง  ใบ ข้าว เขียวเขียว ยืนต้นเดี่ยวเดี่ยว  ร...