วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> ประเทศไทยต้องไม่แพ้...??


ภาพวันนั้น...มันหายไปไหน

ภาพวันนั้น...มันหายไปไหน
รอยยิ้มจริงใจเกลื่อนใบหน้า
เด็กน้อยจูงมือมารดา
พ่อค้าแม่ขายรายทาง

เมืองแก้วร้างแก้วแล้ววันนี้
คลื่นคนขวัญหนีอยู่ไม่สร่าง
กัมปนาทเสียงปืนครืนคราง
ผนึกความอ้างว้างแก่ผู้คน

นี่คือเมืองพระ...เมืองพุทธ
ที่มนุษย์ฆ่ามนุษย์ทุกแห่งหน
และไม่ใช่สงครามประชาชน
แต่เป็นแค่เหตุผล...คนอยากทราม

กับสังคมเน่าเน่าสังคมนี้
เหมือนไม่มีคำตอบทุกคำถาม
มีแต่ “เงิน”และ “งก” คือความงาม
ให้ติดตามตาเห็นไม่เว้นวาย

แล้วจะมีหวังใดให้ได้หวัง
ในเมื่อพลังขับเคลื่อนต่างสูญหาย
เกลื่อนเจ้าที่เจ้าทางไร้ยางอาย
พร้อมส่งผ่านความหมายตายทั้งเป็น

มืดกว่าคืนเดือนมืด...มืดสนิท
ทุกชีวิตเหยาะย่างกลางของเหม็น
ไร้สัญญาณการเยือนของเดือนเพ็ญ
นอกจากหนาวเยียบเย็นและอ่อนล้า

วันนี้...พรุ่งนี้...หรือพรุ่งไหน
จึงไทยคือไทยได้สมค่า
มิใช่เมืองยิ้มคือมายา
กับคาถา..ประเทศไทยต้องไม่แพ้.




เกร็ดภาษาไทย ⏰ นับเวลาแบบไทย...ทุ่ม..โมง..ยาม

ตำนานเวลา

หยุดเขียนไปหลายวันเพราะหดหู่เศร้าใจกับความเป็นไปของสถานการณ์บ้านเมืองจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง  วันนี้เลยขอต่อเรื่องการนับเวลาแบบไทย ๆ ที่เขียนค้างไว้ให้จบ....

คติไทยสมัยก่อน (หรืออาจจะรวมถึงสมัยนี้ด้วย) นิยมอะไรที่ “ง่ายไว้ก่อน พ่อสอนไว้” จนดูเหมือนจะกลายเป็นค่านิยมทางวัฒนธรรมแบบหนึ่งของไทยเราไปแล้ว แม้แต่ภาษาไทยของเราเองก็ดูจะไม่เว้นเช่นกัน เพราะนับตั้งแต่สมัยแรกกำเนิดภาษาไทยก็นิยมใช้คำโดดหรือคำที่ออกเสียงพยางค์เดียวในการสื่อความหมายอยู่แล้วเช่น  ฉัน,รัก, แม่...ฯลฯ

จนกระทั่งต่อมาระยะหลังนั่นแหละ ถึงเริ่มมีการใช้คำควบหรือคำประสมตามอิทธิพลที่ได้รับมาจากภาษาบาลี-สันสกฤตรวมทั้งภาษาในตระกูลมอญ-เขมรเพิ่มเติมเข้ามา

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะกำหนดนับเวลาตามสิ่งที่เห็นและรู้สึกได้ในชีวิตประจำวัน  อย่างเช่นคำว่า “โมง” และ “ทุ่ม”อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเวลาช่วงกลางวันและกลางคืน  ก็มาจากเสียงย่ำฆ้องและกลองที่ทางวัดใช้ตีบอกเวลาในแต่ละชั่วโมงของวันนั่นเอง เนื่องจากสมัยก่อนนาฬิกามักมีใช้เฉพาะภายในวัดเท่านั้น  ชาวบ้านจึงต้องอาศัยเสียงสัญญาณกลองและฆ้องที่ดังมาจากวัดเป็นหลัก  บ้างที่อยู่ห่างไกลออกไปจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงย่ำกลองก็ต้องใช้วิธีฟังเสียงปืนใหญ่ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดฯให้ทหารเรือยิงปืนใหญ่ประจำเรือทุก ๆ เที่ยงวันเพื่อประชาชนและบรรดาพ่อค้าวานิชจะได้ใช้เทียบเวลาประจำวัน  นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “ไกลปืนเที่ยง” ซึ่งหมายพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ  และยังเป็นที่มาของการกำหนดให้กองทัพเรือเป็นผู้รักษาเว
ลามาตรฐานของประเทศอีกด้วย


กังวานดัง “โหม่ง” แรกของวัน เริ่มจากเสียงฆ้องที่ตีบอกเวลาตั้งแต่ ๗ นาฬิกาจนถึงเพลหรือ ๑๑ นาฬิกาอันเป็นเวลาที่พระฉันอาหารนับไล่เรียงมาตั้งแต่ฟ้าสว่างหรือย่ำรุ่ง (๖ นาฬิกา) เป็นหนึ่ง..สอง...สาม..สี่..และห้าโมงเช้าหรือเพลตามลำดับ (ต่างจากประเพณีสากลที่เริ่มนับหนึ่งกันตั้งแต่ผ่านพ้นชั่วโมงแรกหลังเที่ยงคืนเลยทีเดียว)  พอผ่านเที่ยงวันก็เริ่มนับใหม่เป็นช่วงบ่ายโมง..บ่ายสอง..สาม..สี่..และห้าเช่นเดียวกัน  ก่อนผ่านไปยังย่ำค่ำ (๑๘ นาฬิกาหรือหกโมงเย็น)  หลังจากนั้น สัญญาณก็จะเปลี่ยนไปจากการใช้ฆ้องมาเป็นกลองดังตุ้ม..ตุ้ม ตั้งแต่ตุ้มเดียวหรือหนึ่งทุ่มไปจนถึงห้าตุ้มหรือห้าทุ่ม  ก่อนถึงเที่ยงคืนหรือหกทุ่มหรือที่นิยมเรียกกันว่า “สองยาม”ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา..

คำว่า "ยาม" ที่จริงก็มาจากกำหนดการเข้าเวรยามของทหารยามรักษาการภายในพระราชวังนั่นเอง  ในสมัยก่อน การผลัดเวรยามของทหาร ช่วงกลางวันจะแบ่งเป็น ๒ ผลัด ผลัดละ ๖ ชั่วโมงตั้งแต่ย่ำรุ่งจนถึงย่ำค่ำ  หลังจากนั้นจึงถึงเวรของยามผลัดกลางคืนซึ่งแบ่งตามคาบเวลาเป็นช่วง ๆ ละ ๓ ชั่วโมงเริ่มตั้งแต่ย่ำค่ำหรือหกโมงเย็นถือเป็นยามต้นจนถึงสามทุ่ม..ยาม ๒ ตั้งแต่สามทุ่มถึงเที่ยงคืนหรือสองยาม ต่อด้วยยาม ๓ (เที่ยงคืน-ตีสาม) และยาม ๔ (ตีสาม – ย่ำรุ่งหรือหกโมงเช้า) ตามลำดับ

การนับยามแบบนี้มีข้อสังเกตเล็กน้อยสำหรับคนที่เคยผ่านตานิยายกำลังภายในหรือพงศาวดารจีนมา คือข้อแตกต่างตรงที่จีนนับยามเป็นคาบเวลาเพียงช่วงละ ๒ ชั่วโมง  ขณะที่ไทยเราถือ ๓ ชั่วโมงเป็นหลัก

ช่วงพลบค่ำหรือย่างเข้าสู่ช่วงกลางคืน ตามวัดวาอารามสมัยก่อนมักย่ำกลองอันหมายถึงการกระหน่ำตีซ้ำ ๆ เป็นสัญญาณบอกว่าสนธยาหรือรัตติกาลกำลังเริ่มขึ้น จนกลายเป็นที่มาของคำว่า “ย่ำค่ำ” และเลยไปถึงคำว่า “ย่ำรุ่ง” เพื่อให้รับกันในช่วงเช้าด้วย แม้ในช่วงเวลานี้ จะไม่มีการ“ย่ำ” ฆ้องหรือกลองแต่ประการใด

ตลอดช่วงกลางคืนหลังพลบค่ำ  แทนการใช้สัญญาณฆ้องหรือกลองเป็นเครื่องบอกเวลาอย่างตอนกลางวัน  เขานิยมใช้วิธีเคาะแผ่นเหล็กเมื่อครบแต่ละชั่วโมงแทน  เนื่องจากเสียงไม่ดังมากนักจนถึงกับรบกวนการนอนหรือการพักผ่อนของผู้คน โดยมักจะเริ่มการตีตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป จึงนิยมเรียกกันในภายหลังว่า ตีหนึ่ง..ตีสอง..ตีสาม..เรื่อยมา

อรรถาธิบายเรื่อง ทุ่ม, โมง, ยาม, ย่ำ, ตี  ก็คงเอวังได้ด้วยประการฉะนี้....   



https://planetpt.blogspot.com/search/label/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%20%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> ฤาสยามไร้ผู้รู้หน้าที่



คือความวิปโยคโศกสมัย ประกาศความป่วยไข้ไปทุกแห่ง

คือความวิปโยคโศกสมัย
ประกาศความป่วยไข้ไปทุกแห่ง
เมื่อธรรมะใสพิสุทธิ์หยุดแสดง
ปล่อยกาลีแก่งแย่งสำแดงตน

หรือคนกล้า คนดีไม่มีแล้ว
เหลือแต่กาตาแววผู้สับสน
บริกรรมพร่ำคาถาว่าอดทน
ให้ปวงชนสิ้นหวังทุกครั้งครา

หรือคนดีอยู่ไม่ได้ในเมืองนี้
โลกไม่มีหลักประกันให้คนกล้า
หรือสิ้นสุดกระแสยุติธรรมา
ความชั่วช้าสามานย์จึงพล่านนัก

ปล่อยอัปรีย์ผีร้ายสยายร่าง
เกลื่อนกร่างตำใจให้ติดปลัก
เพื่อนไทยพาไทยให้แล้งรัก
แจ้งประจักษ์เต็มตาก็ครานี้

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

เกร็ดภาษาไทย ⏳ เวลาที่ผ่านเลย..คำว่า นาฬิกามาจากไหน

ตำนานเวลา

หยุดเขียนไปหลายวันเพราะหดหู่เศร้าใจกับความเป็นไปของสถานการณ์บ้านเมืองจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง วันนี้เลยขอต่อเรื่องการนับเวลาแบบไทย ๆ ที่เขียนค้างไว้ให้จบ....

คติไทยสมัยก่อน (หรืออาจจะรวมถึงสมัยนี้ด้วย) นิยมอะไรที่ “ง่ายไว้ก่อน พ่อสอนไว้” จนดูเหมือนจะกลายเป็นค่านิยมทางวัฒนธรรมแบบหนึ่งของไทยเราไปแล้ว แม้แต่ภาษาไทยของเราเองก็ดูจะไม่เว้นเช่นกัน เพราะนับตั้งแต่สมัยแรกกำเนิดภาษาไทยก็นิยมใช้คำโดดหรือคำที่ออกเสียงพยางค์เดียวในการสื่อความหมายอยู่แล้วเช่น ฉัน,รัก, แม่...ฯล.

จนกระทั่งต่อมาระยะหลังนั่นแหละ ถึงเริ่มมีการใช้คำควบหรือคำประสมตามอิทธิพลที่ได้รับมาจากภาษาบาลี-สันสกฤตรวมทั้งภาษาในตระกูลมอญ-เขมรเพิ่มเติมเข้ามา

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะกำหนดนับเวลาตามสิ่งที่เห็นและรู้สึกได้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นคำว่า “โมง” และ “ทุ่ม”อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเวลาช่วงกลางวันและกลางคืน ก็มาจากเสียงย่ำฆ้องและกลองที่ทางวัดใช้ตีบอกเวลาในแต่ละชั่วโมงของวันนั่นเอง เนื่องจากสมัยก่อนนาฬิกามักมีใช้เฉพาะภายในวัดเท่านั้น ชาวบ้านจึงต้องอาศัยเสียงสัญญาณกลองและฆ้องที่ดังมาจากวัดเป็นหลัก บ้างที่อยู่ห่างไกลออกไปจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงย่ำกลองก็ต้องใช้วิธีฟังเสียงปืนใหญ่ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดฯให้ทหารเรือยิงปืนใหญ่ประจำเรือทุก ๆ เที่ยงวันเพื่อประชาชนและบรรดาพ่อค้าวานิชจะได้ใช้เทียบเวลาประจำวัน นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “ไกลปืนเที่ยง” ซึ่งหมายพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ และยังเป็นที่มาของการกำหนดให้กองทัพเรือเป็นผู้รักษาเว
ลามาตรฐานของประเทศอีกด้วย


กังวานดัง “โหม่ง” แรกของวัน เริ่มจากเสียงฆ้องที่ตีบอกเวลาตั้งแต่ ๗ นาฬิกาจนถึงเพลหรือ ๑๑ นาฬิกาอันเป็นเวลาที่พระฉันอาหารนับไล่เรียงมาตั้งแต่ฟ้าสว่างหรือย่ำรุ่ง (๖ นาฬิกา) เป็นหนึ่ง..สอง...สาม..สี่..และห้าโมงเช้าหรือเพลตามลำดับ (ต่างจากประเพณีสากลที่เริ่มนับหนึ่งกันตั้งแต่ผ่านพ้นชั่วโมงแรกหลังเที่ยงคืนเลยทีเดียว) พอผ่านเที่ยงวันก็เริ่มนับใหม่เป็นช่วงบ่ายโมง..บ่ายสอง..สาม..สี่..และห้าเช่นเดียวกัน ก่อนผ่านไปยังย่ำค่ำ (๑๘ นาฬิกาหรือหกโมงเย็น) หลังจากนั้น สัญญาณก็จะเปลี่ยนไปจากการใช้ฆ้องมาเป็นกลองดังตุ้ม..ตุ้ม ตั้งแต่ตุ้มเดียวหรือหนึ่งทุ่มไปจนถึงห้าตุ้มหรือห้าทุ่ม ก่อนถึงเที่ยงคืนหรือหกทุ่มหรือที่นิยมเรียกกันว่า “สองยาม”ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา..

คำว่า "ยาม" ที่จริงก็มาจากกำหนดการเข้าเวรยามของทหารยามรักษาการภายในพระราชวังนั่นเอง ในสมัยก่อน การผลัดเวรยามของทหาร ช่วงกลางวันจะแบ่งเป็น ๒ ผลัด ผลัดละ ๖ ชั่วโมงตั้งแต่ย่ำรุ่งจนถึงย่ำค่ำ หลังจากนั้นจึงถึงเวรของยามผลัดกลางคืนซึ่งแบ่งตามคาบเวลาเป็นช่วง ๆ ละ ๓ ชั่วโมงเริ่มตั้งแต่ย่ำค่ำหรือหกโมงเย็นถือเป็นยามต้นจนถึงสามทุ่ม..ยาม ๒ ตั้งแต่สามทุ่มถึงเที่ยงคืนหรือสองยาม ต่อด้วยยาม ๓ (เที่ยงคืน-ตีสาม) และยาม ๔ (ตีสาม – ย่ำรุ่งหรือหกโมงเช้า) ตามลำดับ

การนับยามแบบนี้มีข้อสังเกตเล็กน้อยสำหรับคนที่เคยผ่านตานิยายกำลังภายในหรือพงศาวดารจีนมา คือข้อแตกต่างตรงที่จีนนับยามเป็นคาบเวลาเพียงช่วงละ ๒ ชั่วโมง ขณะที่ไทยเราถือ ๓ ชั่วโมงเป็นหลัก

ช่วงพลบค่ำหรือย่างเข้าสู่ช่วงกลางคืน ตามวัดวาอารามสมัยก่อนมักย่ำกลองอันหมายถึงการกระหน่ำตีซ้ำ ๆ เป็นสัญญาณบอกว่าสนธยาหรือรัตติกาลกำลังเริ่มขึ้น จนกลายเป็นที่มาของคำว่า “ย่ำค่ำ” และเลยไปถึงคำว่า “ย่ำรุ่ง” เพื่อให้รับกันในช่วงเช้าด้วย แม้ในช่วงเวลานี้ จะไม่มีการ“ย่ำ” ฆ้องหรือกลองแต่ประการใด

ตลอดช่วงกลางคืนหลังพลบค่ำ แทนการใช้สัญญาณฆ้องหรือกลองเป็นเครื่องบอกเวลาอย่างตอนกลางวัน เขานิยมใช้วิธีเคาะแผ่นเหล็กเมื่อครบแต่ละชั่วโมงแทน เนื่องจากเสียงไม่ดังมากนักจนถึงกับรบกวนการนอนหรือการพักผ่อนของผู้คน โดยมักจะเริ่มการตีตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป จึงนิยมเรียกกันในภายหลังว่า ตีหนึ่ง..ตีสอง..ตีสาม..เรื่อยมา

อรรถาธิบายเรื่อง ทุ่ม, โมง, ยาม, ย่ำ, ตี ก็คงเอวังได้ด้วยประการฉะนี้....


https://planetpt.blogspot.com/search/label/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%20%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B9%87%E0%B8%99

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

บทกวี >> ก่อนจะถึงปลายทาง


ร้อยรสบทกวี...ก่อนจะถึงปลายทาง

กว่าจะเป็นไม้ใหญ่ได้สักต้น
ต้องต่อสู้ดิ้นรนขนาดไหน
ต้องผ่านลม..ฝน..ฟ้ามาเท่าใด
นก..หนู..หนอน..ชอนไชกี่ภัยพาล

จึงเติบใหญ่ให้เห็นเป็นไม้หลัก
เป็นที่พักที่กินเป็นถิ่นฐาน
ให้ส่ำสัตว์ได้สิงสู่อยู่สุขสราญ
สืบตำนานผู้ให้แห่งไพรเย็น

กว่าเป็นคนเต็มคนสักคนหนึ่ง
กว่าเอื้อมถึงหลักชัยให้เขาเห็น
กว่าเปี่ยมศักดิ์บารมีอย่างที่เป็น
ต้องลำเค็ญแค่ไหนกว่าได้มา

ต้องบ่มเพาะประสบการณ์ทำงานหนัก
ต้องฟันฝ่าอุปสรรคอันหนักหนา
กี่หุบเหว กี่หนาวร้อน กี่อ่อนล้า
จึงสั่งสมบุญญาได้เท่านี้

แล้วไยเล่ายังไม่เข้าใจโลก
ว่าสุขโศกล้วนได้จากใจนี่
แม้อิ่มบุญวาสนามานานปี
ก็หลีกหนีไม่พ้นวงเวียนกรรม

ไยจึงต้องยึดติดนิมิตใหม่
ฝากหัวใจกับคนพาลสันดานต่ำ
ผู้ไร้ค่าแปดเปื้อนแต่เงื่อนงำ
ให้มืดดำในเบื้องท้ายปลายชีวิต

ไม่คิดถึงลูกหลานเลยบ้างหรือ
จึงดึงดื้อดันทุรังสร้างบาปผิด
ให้สายทรามตามตัวไปทั่วทิศ
ตามลิขิตประวัติศาสตร์จักวาดไว้

หยุดเสียเถิด วางเสียเถิด เลิกเสียเถิด
ทางประเสริฐคงรู้อยู่หนไหน
เพื่อบุญของทวยราษฎร์ของชาติไทย
และเพื่อใจไม่ต้องตกนรกนาน...นาน./


บทกวี >> ก่อนจะถึงปลายทาง

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานเพลง : หนูกรุง - หนูนา



ภาพถ่าย

หนูนา: เกิดมาเป็นหนูนา ปัญหามันมีมากมาย
วันวันว้าวุ่นวาย คอยหลบกายซ่อนตัวทั้งเดือนทั้งปี คอยหนีศัตรู
ทั้งคนทั้งงู เหยี่ยวร้ายควายวัว
ทุกคนทุกตัว น่ากลั๊ว..น่ากลัว....(น่าเบื่อด้วย..)

(ร้องแร็พ) เฮ้อ..ชีวิตมันมีแต่ทุกข์
นั่งลุกก็ไม่ค่อยสบาย
ใคร ๆ เขาชอบคิดร้าย ข้าวปลาเสียหาย เขาก็โทษหนูนา
อยากไปซะให้พ้น ๆ ชีวิตอลวน บนดินบนหญ้า
เอ๊ะ! ใครแว้บไป แว้บมา

หนูกรุง : สวัสดีหนูนา ฉันมาเยี่ยมเธอ
หนูนา : โอ๊ะ โอ๋ หนูกรุงนี่นา สวัสดีจ้ะ ดีใจที่ได้เจอ
กำลังคิดถึงเชียวเออ...
หนูกรุง : มีเรื่องอะไรเหรอ
หนูนา : ก็เบื่อน่ะซี
หนูกรุง : ถ้างั้นไปมั้ยล่ะกับฉัน ไปเที่ยวกรุงกัน เดี๋ยวก็มันไปเอง
มีทั้งแสงสี เสียงเพลง ร้องรำบรรเลง ครื้นเครงน่าดู



หนูนา : อือม์..ก็ดี ก็ดีเหมือนกัน รีบไปเลยงั้น ฉันอยากจะรู้
หนูกรุง : แหม..ใจเร็วจริงนะ น้องหนู
หนูนา : อ้าว..ก็อยากไปดู
หนูกรุง : งั้นไปเลยไป...โลด


ดนตรีเปลี่ยน แทรกเสียงความวุ่นวายในเมือง..เสียงรถ..
เสียงเบรก.. มอเตอร์ไซค์..นกหวีด..คนพูด..เสียงจ้อกแจ้กจอแจ
หนูกรุง : (ตะโกน) เร็วเข้า ทางนี้..ทางนี้.. (เสียงวิ่งคึ่ก คึ่ก)


หนูนา : โอ๊ย...คนยังกะมด รถก็เป็นล้าน ควันก็เม้น..เหม็น..
หนูกรุง : ใจเย็น..ใจเย็น..ใจเย็น..
ก็อย่างที่เห็น นี่ละ เมืองกรุง
หนูนา : โอย..ย หัวมันปั่น ดูมันยู้ง..ยุ่ง
หนูกรุง : ก็อย่างนี้แหละลุง ไม่เห็นจะเป็นไร
หนูนา : บรื๊อว์..ว แล้วก็นั่น แมวตั้งหลายตัว
หนูกรุง : ไม่เห็นต้องไปกลัว
หนูนา : โธ่...ไม่กลัวได้ไง
หนูกรุง : โอ๋...โอ๋...ไม่ต้องตกใจ
ค่อย ๆ เดินไป เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว...


(ดนตรีทำนองร้อง ๑ ขึ้นบาง ๆ เบา ๆ แล้วค่อย ๆ ดังขึ้น หนาขึ้น
หนูกรุงร้อง)

หนูกรุง : เกิดมาเป็นหนูกรุง อีรุงตุงนังทั้งวัน
แมวเป็นร้อยเป็นพัน ยังหลบทันทุกที
ทั้งควันรถยนต์ ทุกหนแห่งรุม
ทั้งคนชุกชุม โหด ร้าย เลว ดี
ทั้งเดือนทั้งปี ตี่ตะลิดติ๊ดตี ยังสบาย...

(ร้องแร็พ ๒)
หนูนา : เอ๊ะ! แปลกจริง หนูกรุงนี่แปลก
ฉันแทบสติแตก แต่เธอยังเก่ง
หนูกรุง : ใครว่า...?
หนูนา : ฉันว่าเอาเอง ก็เห็นร้องเพลง เหมือนไม่เดือดร้อนเลย
หนูกรุง : เดือดร้อน น่ะ..มันเดือดร้อน
แต่ไม่ทุกข์ร้อน มันก็เลยเฉย ๆ
หนูนา : เอ๊ะ! พูดอะไร ไม่เข้าใจเลย
หนูกรุง : โธ่เอ๊ย ๆ ของมันง่ายจะตาย

( Melody 2 – หนูกรุงร้อง)
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจมันไม่เสียหาย อยู่ไหนก็อยู่ได้ จริงไหมล่ะเพื่อน
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจบอกไม่เป็นไร มันก็ไม่เป็นไร จริงไหมล่ะเกลอ
ทุกสิ่งแปลกตาน่ากลัว ดูแล้วเวียนหู ไม่เอาดีกว่า
หนูกรุง : อ้าว... ก็ไหนบอกว่า เบื่อบ้านนาไง
(หนูนาร้องเพลง)
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจมันไม่เสียหาย อยู่ไหนก็อยู่ได้ จริงไหมล่ะเพื่อน

หนูกรุง : เออ…เออ...ใช่แล้ว...ใช่แล้ว...

(หนูกรุง หนูนา ร้องพร้อมกัน – Melody 2)
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจมันไม่เสียหาย อยู่ไหนก็อยู่ได้ จริงไหมล่ะเพื่อน
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจบอกไม่เป็นไร มันก็ไม่เป็นไร จริงไหมล่ะเกลอ

(ซ้ำ...เฟด..จนจบ)

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

เกร็ดภาษาไทย 🖐 การันต์ – เมื่ออักษรงดออกเสียง

การันต์ – เมื่ออักษรงดออกเสียง
คำว่า “การันต์” หมายถึงตัวอักษรที่ไม่ถูกออกเสียง   เนื่องจากถูกบังคับไว้โดย “ไม้ทัณฑฆาต” ซึ่งกำกับอยู่ด้านบนตัวอักษรที่ไม่ต้องการให้ออกเสียง ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มักใช้เฉพาะกับคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ  ทั้งฝรั่งมังค่าและบาลี-สันสกฤต  เนื่องจากมักเป็นคำที่มีหลายพยางค์ จึงต้องใช้เครื่องหมายทัณฑฆาตมาเป็นตัวช่วยบังคับให้งดออกเสียง  ทั้งยังช่วยรักษารูปศัพท์ดั้งเดิมให้รู้ว่ามีที่มาจากไหนด้วย   นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องมีตัวการันต์และเครื่องหมายไม้ทัณฑฆาตในภาษาไทยของเรา...

ส่วนคำไทยแท้ ๆ นั้น  เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด  และมีพยางค์
น้อยอยู่แล้ว  จึงไม่จำเป็นต้องใช้ตัวการันต์แต่อย่างใด

โดยปกติ คำที่เราหยิบยืมมาใช้โดยเฉพาะจากภาษาบาลี-สันสกฤตที่เรานำ
กำกับทัณฑฆาตเพื่องดออกเสียงนั้น  จะการันต์ที่พยางค์ท้ายซึ่งเป็นสระเสียงสั้นอย่างอะ อิ อุ เท่านั้น เช่น พจน์ (สระอะลดรูป) พิสุทธิ์ (สระอิ) พันธุ์ (สระอุ) เป็นต้น

ตัวการันต์กลางพยางค์  ปัจจุบันปรากฏเฉพาะแต่คำยืมที่มาจากภาษาตะวันตก  ซึ่งสามารถพบได้โดยทั่วไป เช่น มาร์ค, ชอล์ก, ฟิล์ม, วาล์ว ...ฯลฯ

มีข้อที่ควรระวัง คือเรื่องการใช้การันต์ผิดที่ เช่นคำว่า “ฟิล์ม” ที่ยกเป็นตัวอย่าง เคยเห็นบางคนเขียนว่า “ฟิลม์” ซึ่งต้องอ่านว่า ฟิล หรือคำว่า “ซิลค์” ถ้าไปวางการันต์ผิดที่ (ซิล์ค) ก็ต้องอ่านว่า ซิค โดยไม่อาจอ่านเป็นอื่นได้เลย

อีกเรื่องที่ควรสังเกต คืออักษรที่งดออกเสียงนั้น ต้องอยู่หลังตัวสะกดเท่านั้น จะอยู่ลอย ๆ ไม่ได้ เช่นในคำว่า “โลกนิติ์”  ตัว”ต” ยังต้องออกเสียงเป็นอยู่  เพราะเป็นตัวสะกดพอดี  ทัณฑฆาตจึงฆ่าได้เฉพาะเสียงสระอิ ส่วนตัว “ต” หนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด

ตัวการันต์หรือตัวอักษรที่งดออกเสียง จึงเป็นเรื่องชวนฉงนในภาษาไทยอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรให้ความสนใจ  เพราะว่ากันอันที่จริง การันต์มีตั้งแต่เป็นพยัญชนะตัวเดียว เช่น สิงห์, ปอนด์, องค์...ฯลฯ  สองตัว เช่น กาญจน์, สายสิญจน์...ฯ สามตัวเช่นคำว่า พระลักษมน์ ในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น  การหมั่นสังเกต จดจำ จึงเป็นความจำเป็นที่เราคนไทยไม่สมควรละเลย เพื่อสืบสายธารแห่งภาษาไทยของเราให้อยู่ยืนตลอดไป. 


การันต์ – เมื่ออักษรงดออกเสียง

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> พลังเงียบ..ต้องไม่เงียบ..!!


พลังเงียบต้องไม่เงียบ ต้องกล้าเหยียบกล้าหยัดยืน

พลังเงียบต้องไม่เงียบ
ต้องกล้าเหยียบกล้าหยัดยืน
ปลุกใจให้ฟื้นตื่น
ด้วยมาดมั่นกระชับมือ

เพลาอนาคต
ถูกกำหนดให้ยึดถือ
จะหงอจะอออือ
หรือกอบกู้เชิดชูธรรม

นี่คือทางสองแพร่ง
ที่ยื้อแย่งชิงการนำ
กี่ถ้อยกี่ร้อยคำ
ก็ไม่สู้หนึ่งใจคิด

เลือกเอาและเลือกเอง
อย่าคร้ามเกรงเพราะเป็นสิทธิ
วันนี้คือชีวิต
จะถูกผิดก็วันนี้

ธำรง “ทรงพระเจริญ”
เพื่อสรรเสริญพลังความดี
หรือปล่อยให้อัปรีย์
มันรื้อบ้านประหารเมือง

เมื่อเลยขีดของเหตุผล
ประสาคนไม่รู้เรื่อง
จาบจ้วงอยู่เนืองเนือง
ควรหรือจะละเว้นมัน

เพื่อนเอ๋ย..พี่น้องเอ๋ย..
อย่าชื่นเชยแต่เพียงฝัน
เมื่อไทยไม่รักกัน
สมานฉันท์ก็ป่วยการ.

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทกวี >> พิทักษ์ธรรม - พิทักษ์ไทย


โลกนี้ดำรงอยู่เพราะผู้กล้า

ผู้สืบทอดเจตนาท้าวิกฤติ
เพราะยึดมั่นคุณธรรมนำชีวิต
จึงอุทิศเพื่อศรัทธาเช่นว่านั้น

ทุกสงครามย่อมมีวีรบุรุษ
ผู้กล้านำกล้ารุดจุดไฟฝัน
เพื่อหล่อหลอมดวงใจให้ร่วมกัน
จู่ประจันอริราชศัตรู

นับเนื่องบุรพกาลนานมาแล้ว
ที่เถื่อนแถวถ่อยทรามมันหยามหลู่
อนารยะรุ่งเรืองและเฟื่องฟู
เหล่ามังกรต้องอดสูเป็นงูดิน

แต่มีไหมสักครั้งจีรังได้
กับอำนาจบาตรใหญ่ที่โหดหิน
ใต้เงื้อมเงาอับอื้อมือทมิฬ
มีหรือจะสูญสิ้นวิญญูชน

ผู้หาญกล้าต่อสู้เยี่ยงผู้กล้า
ผู้ลบบาปคราบน้ำตาดังห่าฝน
ที่เจิ่งนองท้นทับจับกมล
ของผู้คนทั่วผืนแผ่นดินไทย

เหมือนเทียนน้อยถูกจุดท่ามความมืดมิด
ให้ถ้วนทิศเห็นทางสว่างไสว
แม้จุดหมายปลายทางยังห่างไกล
แต่โชนไฟแห่งความหวังก็ยังดี

ต่อให้ใหญ่คับฟ้าถ้าทุศีล
ถ้าป่ายปีนแต่อสัตย์อันบัดสี
ย่อมมีมือนับร้อยนับหมื่นมี
คอยโจมจี้ยื้อยุดฉุดลงมา

ขอมือน้อยมือนี้อีกมือหนึ่ง
เป็นพลังเอื้อมถึงปรารถนา
แห่งกระแสยุติธรรมนำบัญชา
จากเบื้องฟ้ามาย้ำเน้นให้เป็นจริง.

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เพลง [s] "ตะขาบนักเลง"

อยากจะกัด อยากอวดเก่ง เขาเลยเล็งจิกตีให้ตาย

โคนตะขบ มีตะขาบ มันภูมิใจมีมือตีนนับพัน
หลงว่าเก่ง คิดไปเอง เดินโคลงเคลงเป็นนักเลงทั้งวัน
ไม่เคยหลบ พบใครผ่าน เป็นทะยานพุ่งเข้าใส่ทันควัน
คิดจะกัด งัดเขี้ยวใส่ ใครเป็นใครใม่ใส่ใจไล่กัดทั้งนั้น....

ตัวนิดเดียวตลอดตัวไว้แต่ตีน
มีพิษคอยกัดคน
ใครเผอเรอมาเจอะเจอก็เกือบตาย
ใครทักทายกลับชน

แล้ววันหนึ่ง มีแม่ไก่ เดินงัวเงียมาคุ้ยเขี่ยหากิน
เจ้าตะขาบ คิดกำราบ จึงตรงมาตามประสาคุ้นชิน
เสียดายแม่ไก่ ห็นเป็นหนอนใหญ่
จึงดีใจ รี่เข้าไปไล่จิกอร่อยลิ้น....

อยากจะกัด อยากอวดเก่ง
เขาเลยเล็งจิกตีให้ตาย
กัดสะบัด กัดบ่อยบ่อย
หัวตะขาบเลยหาย.....

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เกร็ดภาษาไทย ❣ ร.รัก มิใช่ ล.ลัก


การอ่านออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยโดยเฉพาะตัว ร,ล ออกจะเป็นปัญหาไม่น้อยสำหรับคนทั่วไป  แม้แต่คนที่มีระดับการศึกษาสูง ๆ เองก็ตาม ก็ยังออกเสียงผิดพลาดอยู่บ่อย ๆ ที่เป็นดังนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่าง “เสียงมาตรฐาน” กับ “สำเนียง” อันคุ้นชินมาจากภาษาถิ่นซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน  และอีกส่วนหนึ่ง น่าจะมาจากขาดการฝึกฝนหรือศึกษาหลักการออกเสียงมานานและมักใช้ตามความสะดวกปากจนเคยตัว ปล่อยให้การอ่านออกเสียงมาตรฐานที่ราบรื่นชัดเจนเป็นเรื่องของผู้คนในแวดวงจำกัดเฉพาะโฆษกพิธีกรและบุคคลสาธารณะบางจำพวกเท่านั้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้  เราจึงมักได้ยินคำพูดประเภท ”เลาต้องปับปุงเปี่ยนแปงโลงเลียนของเลาให้ดี” หรือ “ไปเล็ว ๆ ล่ะ แล้วลีบกับมานะ” อะไรทำนองนี้เป็นประจำ

ออกเสียง “ร” นั้นไม่ยากเลยถ้าเพียงแต่ผ่านการฝึกฝนออกเสียงควบกล้ำให้ถูกต้องเสียแต่แรก  ยิ่งถ้าได้เริ่มฝึกมาตั้งแต่เด็กตอนที่ลิ้นยังอ่อนก็ยิ่งดี เพราะจะกลายเป็นความคุ้นชิน ที่นอกจากจะช่วยให้ได้ความถูกต้อง ไพเราะ สละสลวย แล้ว ยังช่วยในการสื่อสารให้สมดังเจตนาของผู้พูดด้วย   ลองนึกดูสิ ถ้าหากเราต้องการครีมล้างหน้าและใช้คนไปซื้อ แต่กลับได้คีมตัดลวดมาแทนเพียงเพราะพูดคำควบกล้ำไม่ชัด...!!!
ฝึกออกเสียง ร,ล ให้ดีนะครับ เพื่อช่วยยืดลมหายใจให้ภาษาไทยมาตรฐาน
ของเราไปนาน ๆ...
เริ่มจากซ้อมอ่านออกเสียงดัง ๆ จากบทกลอนข้างล่างนี้เป็นเบื้องต้นก็ได้จ้ะ...

หากรักใครใคร่ครองต้องครุ่นคิด 

เร่งสำรวจตรวจจริตกรอบนิสัย 
ทั้งครอบครัวครัดเคร่งไม่เกรงใคร 
หรือครึกครื้นรื่นไหลดูไม่งาม 
ต้องครบเครื่องครามครันไม่ครั่นคร้าม 
อย่าโครมครามหรือคร่ำครึดังฤษี
  ไม่เกียจคร้านเร่งสานต่ออย่ารอรี 
เพราะรักต้องยินดีพลีเพื่อ “รัก”


หากรักใครใคร่ครองต้องครุ่นคิด  เร่งสำรวจตรวจจริตกรอบนิสัย

https://www.facebook.com/planetpt.blogspot/

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทกวี >> รักดีต้องกล้าดี...


เพราะใจไม่กล้าชั่ว  และเกลียดกลัวไม่กล้าทำ...
เพราะใจไม่กล้าชั่ว
และเกลียดกลัวไม่กล้าทำ
ธรรมะจึงเพลี่ยงพล้ำ
เหมือนพ่ายแพ้ตลอดมา

ถูกกระทำขยำขยี้
ก็ต่อตีกันซึ่งหน้า
ถูกเขาแกล้งกล่าวหา
ก็เชิดหน้าพร้อมรับกรรม

หัวใจอันกล้าแกร่ง
แม้โรยแรงเพราะถูกย่ำ
คำตอบอาจบอบช้ำ
และผิดหวังทุกครั้งคิด

แต่ใจก็คือใจ
ไม่มีใครกล้าสวมสิทธิ
ชี้นำทางชีวิต
ที่ลิขิตและเลือกเดิน

คนดีจึงกล้าดี
กล้าชวนชี้ที่ควรเมิน
กล้าข้ามทุกโขดเขิน
เพื่อพิสุจน์ถึงเส้นทาง

โลกแห่งอนาคต
จึงปรากฎทุกก้าวย่าง
รอยเท้าที่ทอดวาง
ไม่เคยร้างผู้เดินตาม

เป็นเช่นนี้และเช่นนี้
ตราบยังมีเศษซากทราม
ย่อมมีผู้ก้าวข้าม
และดาหน้าเข้าท้าทาย...


เพราะใจไม่กล้าชั่ว  และเกลียดกลัวไม่กล้าทำ...

โพสต์แนะนำ

สาระนิทาน ชุด ไม้ไทยใจดี 🍽 เรื่อง "ข.ข้าว ขาว ขาว"

เขียวเอย...เขียวพรมผืนใหญ่ ใครมาถักทอไว้ แลไกลสุดตา  เจียวเอย... ตัวฉันนั่นไง  ใบ ข้าว เขียวเขียว ยืนต้นเดี่ยวเดี่ยว  ร...