-->

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทกวี >> รัฐธรรมนูญฉบับ..ตูเอง

รัฐธรรมนูญฉบับ..ตูเอง
มาตราหนึ่ง..ประเทศไทยมิใช่หนึ่ง
แต่จะต้องแบ่งครึ่งให้ถึงสอง
และต้องมีตัวกูเป็นผู้ครอง
ตีตราจองของใหม่ใหม่ได้คล่องมือ

มาตราสอง..ต้องมีประชาธิปไตย
ในเงื่อนไข..ยอมตามและห้ามหือ
พร้อมยอมทนสนตะพายคล้ายกระบือ
แลกกับซื่อคืออด..คดคือรวย

มาตราสาม..ห้ามมีตุลาการ
ที่ประจานคนจัญไรไม่เล่นด้วย
มาตราสี่..รัฐสภาต้องเฮงซวย
ยกมือช่วยรัฐบาลทุกกรณี

มาตราห้า...โทษอาญายังมีได้
แต่ต้องดูหน้าใครให้ถ้วนถี่
มาตราหก..การค้าต้องเสรี
แต่กูมีสิทธิควบมารวบเอา

มาตราเจ็ด...บุคคลมีเสรีภาพ
ที่จะงาบ...ที่จะเลว...ที่จะเผา
มาตราแปด...การศึกษาแต่วัยเยาว์
ต้องสอนให้โง่เขลาให้เชื่อฟัง

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> ต้นกล้าประชาภิวัฒน์

                เรามาไกลเกินกว่าหันหน้ากลับ จึงควรยิ้มต้อนรับการเมืองใหม่
เรามาไกลเกินกว่าหันหน้ากลับ
จึงควรยิ้มต้อนรับการเมืองใหม่
เพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย
สู่ธรรมาธิปไตยในโลกา

ผิดนักหรือที่จะถางทางกำหนด
เพื่อจัดวางอนาคตในวันหน้า
เพื่อการเมืองไม่ต้องชี้ที่ราคา
ไร้เบื้องหลังเบื้องหน้ามารวบรัด

พอกันทีอัปรีย์ไป จัญไรมา
พอกันทีกับหมูหมาสารพัดสัตว์
พอกันทีประชาธิปไตยแบบไล่ยัด
หยุดวิบัติแผ่นดินเสียบัดนี้

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> คารวะนักสู้

บทกวี >> คารวะนักสู้
คารวะนักสู้ผู้กล้าก้าว
ซึ่งปวดร้าวกับความจริงสิ่งที่เห็น
เมื่อสังคมวันนี้มีอันเป็น
เธอตอบแทนผู้ทุกข์เข็ญเหมือนเช่นเคย


กลางความวิปโยคโศกสมัย
ในหัวใจคนจริงยากนิ่งเฉย
ทุกเวลานาทีที่ผ่านเลย
ยิ่งเฉยเมยหนามเสนียดยิ่งเสียดแทง


กาลกิณีผีร้ายที่ร่ายร้อง
ขยับกรับขับทำนองเสียดแสยง
ปฎิกูลอวดกลิ่นกล้าท้าลมแรง
ยิ่งดาลเสียงสาปแช่งให้แผลงฤทธิ์


เมื่่อสาวเท้าก้าวหนึ่งหรือครึ่งก้าว
จะก้าวยาวก้าวสั้นนั่นเป็นสิทธิ์
แต่ที่หมายจักหดสั้นวันละนิด
และชีวิตย่อมสมฝันในบั้นปลาย

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> สวัสดี คุณครู

ขอกราบครูผู้จุดเทียนการเขียนอ่าน
สวัสดีคุณครูผู้สอนศิษย์ 
คารวะตั้งจิตอธิษฐาน  
เทิดฐานะคำว่า ครู..อาจารย์ 
ดุจสะพานปัญญาแห่งธาตรี 

ขอกราบครูผู้จุดเทียนการเขียนอ่าน 
มุ่งสืบสานวิทยาโดยหน้าที่ 
เป็นรอยบุญหนุนนำคุณความดี 
ตามวิถีที่มนุษย์ควรรุดไป 

เพราะชีวิตวุ่นว้างบนทางเปลี่ยว 
ช่างคดเคี้ยวโขดเขินเกินวิสัย 
จะฝันข้ามตามรักสู่หลักชัย 
โดยขาดไร้ผู้แผ้วถางนำทางตน 

ครูผู้เอื้ออาทรจึงสอนสั่ง 
เพียรต่อตั้งเฝ้าสังเกตให้เหตุผล 
ขับคุณค่าความงามความเป็นคน 
บนถนนสายเวลาอนาคต 

ละล่องลอยคล้อยเคลื่อนเดือนปีคล้อย 
เรือชีวิตแล่นลอยตามบาทบท 
ครูยังคงเป็นครูผู้งามงด 
ไม่ราลดหมายศิษย์นี้ดีกว่าเดิม 

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> ทัณฑ์กามเทพ

เขาว่ารักสร้างหวังคนทั้งโลก  ไยบันดาลทุกข์โศกเสียยิ่งกว่า
จะก้าวเท้าก้าวหนึ่งหรือครึ่งก้าว จะก้าวยาวก้าวสั้นใช่ปัญหา สุดท้ายเมื่อพ้นผ่านกาลเวลา ย่อมสมดังเจตนาหรือปราชัย เมื่อมีหนึ่งมีสองต้องมีสาม ที่ติดตามตัวตนตั้งต้นใหม่ เดี๋ยววูบวับเดี๋ยวอับปางเดี๋ยวร้างไกล เดี๋ยวสดใสเดี๋ยวโฉดเขลาเดี๋ยวเศร้าซึม ใจเอยใจไยเจ้าจึงเขลานัก มาติดปลักเกลียวกวนอวลกระหึ่ม เผชิญคลื่นความเหงาอันเทาทึม กลางหมอกครึ้มอ้อยอิ่งชิงชวยชาย ดังวิหคปีกวิ่นบินผ่านฝน ฝ่าความมืดมัวมลอันเหน็ดหน่าย ไม่อาจกลับไม่อาจรู้อยู่หรือตาย รอเพียงพ่ายหรือพ้นจากโพยภัย รักไม่เคยปรานีที่จะรั้ง ครั้นหยุดยั้งกลับมิเกรงเร่งผลักไส ส่งไปที่เรือนหวังกำลังใจ พอเฉียดใกล้กลับทึ้งดึงกลับมา

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> สื่อมารชน

สื่อมารชน  กระดาษเปื้อนหมึก
เคยเป็นเช่นกระจกเงาทุกเช้าตรู่
ส่องสัญญาณการรับรู้ผู้คนเห็น
ฉายความทุกข์ปลุกสำนึกอันลึกเร้น
จนโดดเด่นได้ชื่อ ‘สื่อสาระ’

สร้างมติมหาชนบนหยาดหมึก
จารบรรทึกสรรพปัญญาวิสาสะ
เหมือนแสงทองส่องทางสร้างพันธะ
โดยสัจจะปกปักคคนางค์

จนคืนร้าว...
แล้วจันทร์แรมก็ลัดหาวอยู่ไม่ห่าง
ขับอุษาคอยเยือนให้เลื่อนราง
ปล่อยหมอกเมฆขุ่นคว้างเข้ารุมเมือง

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> พลับพลึงธาร ~ รันทดบทสุดท้าย


พลับพลึงธาร ~ รันทดบทสุดท้าย
ตะวันทอแพรแสดกลางแดดกล้า พยับพร่างมายาเริงฟ้าใส ลมพรูพัดสะบัดโบกโยกกิ่งไกว หมู่พฤกษ์ไพรเนืองนับเร่งจับจูง พลับพลึงธารบานเร้นลับกับสายน้ำ ขับลำนำบุษบากลางป่าสูง แก้วกาฮังสวยสล้างแข่งยางยูง บ้างพลัดฝูงรำฟ้อนริมหาดทราย หมู่กวางทรายร่ายรินมากินหญ้า พยัคฆาหลบเร้นเขม้นหมาย กระทิงโทนขวับเคี้ยวอยู่เดียวดาย แล้วภาพแห่งความตายก็ฉายมา ๒. เรือใบไม้ไหวสะท้านผ่านดงดิบ ยินเพียงเสียงกระซิบอันแปลบปร่า เราคือซาก..คือวิบัติ..พัฒนา จักเยือนคลองนาคาในเร็ววัน เรือใบไม้ถอนสะอื้นคืนสงัด กลางรกชัฏป่าเปลี่ยวเลี้ยวลดหลั่น เย็นน้ำใสไหลเริงเป็นเชิงชั้น ราวสวรรค์ในนิทานนานมาแล้ว

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> เมืองคนดิบ


ใครบางคนอาจกำลังยืนหัวร่อ แต่เรามีเหตุผลพอจะร่ำไห้

ใครบางคนอาจกำลังยืนหัวร่อ
แต่เรามีเหตุผลพอจะร่ำไห้
กับหลายสิ่งที่เห็นที่เป็นไป
ด้วยสมเพชประเทศไทยในยามนี้

เกิดวิบัติประหัตชาติถึงอาจล่ม
การโค่นล้มดำเนินเกินหลีกหนี
ภาพตำตาสารพัดสัตว์อัปรีย์
หมายราวีรัฐวอดมิเว้นวัน

เมื่อชั่ว..โง่..ดื้อ..บ้า..มากันครบ
โลกก็ถึงจุดจบทุกสิ่งสรรพ์
ราวชีวิตพลัดหลงถูกลงทัณฑ์
ตกนรกนิรันดร์ทั้งลืมตา

เหมือนกันหมด..มองทางไหนไร้ที่หวัง
โลกสูญพลังแห่งธรรมมานำหน้า
เกลื่อนโขยงโกงกันไปโกงกันมา
ปลุกระดมปัญญาแค่หายัด

บทกวี >> โลก..ชีวิต.. รัตติกาล

บทกวี >> โลก..ชีวิต.. รัตติกาล
เป็นเพียงความรู้สึกอันลึกซึ้ง
ครุ่นคำนึงด้วยแรงปรารถนา
พริ้วผ่านห้วงทะเลแห่งเวลา
ไม่อาจราเริศร้างเหมือนอย่างเคย

เราหลงทางมาแต่ไหนเมื่อไหร่นี่
จึงวันนี้สะทกสะเทือนเกินเอื้อนเอ่ย
ดอกไม้หอมจรุงกลิ่นอันชินเชย
นิจจาเอ๋ยไยชืดหอมจืดจาง

ดอกโมกบานเกลื่อนกล่นบนต้นโมก
สลัดกลีบวิปโยคอยู่ไม่สร่าง
พรมขาวหม่นทอดนิ่งอยู่ริมทาง
สลายร่างบางเบาเหงาระยับ

กับราตรีว่างเปล่าชวนเศร้าหมอง
สัมผัสเพียงแสงทองของอัจกลับ
มาเฉิดฉายโลมลูบจนวูบวับ
ก่อนลาลับจับแจ้งแสงอรุณ

คว้าง..คว้าง ใบไม้ปลิว
ลอยละลิ่วหมุนคว้างกลางน้ำขุ่น
กระไออวลกระอักอุกเร่ซุกซุน
ละม้ายหุ่นร่อนเร่ชเลชล

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> ขอสันติผลิบานตระการหล้า

ขอสันติผลิบานตระการหล้า
ขอเมตตากระอวลไอแผ่ไพศาล
ขอความรักแรเงาเคล้าดวงมาน
ขอสายธารแห่งน้ำใจไหลเรื่อยริน

ขอทุกข์ยากขวากหนามสยามรัฐ
เคียวสายลมพรมพัดวิบัติสิ้น
ขอไพร่ฟ้าหน้าหมองของแผ่นดิน
จงมีกินมีค่าประสาคน

ขอความต่างจะอย่่างไรเหมือนไม่ต่าง
ไม่ทิ้งขว้างขอบเขตของเหตุผล
ขอทุกข์เข็ญแค้นคาตำตาตน
อย่ามาเยือนแย้มให้ยลกันอีกเลย

ขอความดีคือความหวังคนทั้งโลก
รับสุขโศกโชคชตาอย่างผ่าเผย
ขอนิยามคำว่า “เพื่อน” เหมือนอย่างเคย
ยามเอื้อนเอ่ยอย่าหวานปากถากด้วยตา

ขอรอยยิ้มไมตรีจิตมิตรภาพ
กรุ่นกำซาบกลางทรวงแกมห่วงหา
ขอพลังพลุ่งโดยแรงแห่งศรัทธา
เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่าอย่าสั่นคลอน

ขอคนโลภรู้จักพอไม่ก่อโลภ
รู้จุนเจือเอื้อโอบเมืองผุกร่อน
ขอคลองธรรมมรรคาคืออาภรณ์
ผลประโยชน์ทับซ้อนขอห่างไกล

ขอได้ไหมแผ่นดินนี้หากมีรัก
ขอตระหนักพลัดดวงก็ร่วงได้
ขอดอกไม้ธรรมาธิปไตย
บานสะพรั่งกลางใจไทยทุกคน./

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> เปลี่ยน

ฤาถึงคราฟ้าเปลี่ยนสี อเวจีจึงกล้ากร้าว
เปลี่ยนถูกให้เป็นผิด
เปลี่ยนยาพิษเป็นอาหาร
เปลี่ยนดีเป็นดิบด้าน
เปลี่ยนนรกานต์เป็นธรรมา

เปลียนธุลีให้มีศักดิ์
เปลี่ยนความรักเป็นคลั่งบ้า
เปลี่ยนชั่วเป็นวิชา
เปลี่ยนศรัทธาเป็นอาจม

เปลี่ยนแผ่นดินเป็นสินทรัพย์
เปลี่ยนสรรพสัตว์ให้ขื่นขม
เปลี่ยนยิ้มใสให้ตรอมตรม
เปลี่ยนโลกกลมเป็นโลกกิน

เปลี่ยนสะคราญเป็นโสโครก
เปลี่ยนโลกงามให้ทรามสิ้น
เปลี่ยนความหวังให้พังภินท์
เปลี่ยนร่มเย็นเป็นร้อนร้าว

ฤาถึงคราฟ้าเปลี่ยนสี
อเวจีจึงกล้ากร้าว
เด็ดดึงถึงดวงดาว
แสยะยิ้มเพลินฉิมพลี...ฯ

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ภาษาศิลป์ 📘 สร้อยคำ ๐ คำเสริม ๐ คำสร้อย


สร้อยคำนี้บางครั้งอาจเรียกว่าเป็นคำอุทานเสริมบทหรือเรียกสั้น ๆ ว่า คำเสริม ก็ได้
เสน่ห์และสุนทรียภาพในภาษาไทยอย่างหนึ่ง ซึ่งถือเป็นมรดกความงามทางวัฒนธรรมอันน่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งของคนไทยเรา คือความเป็นภาษาศิลป์ที่มีสุนทรียะผ่านทางระดับของเสียง (วรรณยุกต์) จังหวะสั้นยาว (สระ) ตลอดจนความหนักเบาหรือน้ำหนักของคำ (ครุ-ลหุ) อันทำให้สามารถก่อรูปฉันทลักษณ์ในรูปแบบต่างๆรวมทั้งสื่อแสดงอารมณ์ในเชิงวรรณศิลป์ได้มากมายอย่างยากที่จะหาในภาษาใด ๆ ในโลกมาเปรียบ

      ไม่เชื่อก็ลองอ่านหนึ่งในสุดยอดวรรณคดีไทยแห่งยุครัตนโกสินทร์ที่ชื่อ สามัคคีเภทคำฉันท์ ของท่าน “ชิต บุรทัต ท่อนนี้ดูซีครับ....

     
๏ เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร   ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน
ก็มาเป็น
๏ ศึกบถึงและมึงก็ยังมิเห็น     จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น
ประการใด
๏ อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ   ขยาดขยั้นมิทันอะไร  
ก็หมิ่นกู
๏ กลกากะหวาดขมังธนู   บห่อนจะเห็นธวัชริปู
สิล่าถอย…ฯลฯ

ลองอ่านออกเสียงดัง ๆ ดูสิ  พยายามจับจังหวะและนำหนักของเสียงที่เปล่งออกมา  เราอาจสัมผัสได้ถึงสื่ออารมณ์ของผู้พูดที่บริภาษออกมาด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยวระคนผิดหวังรุนแรง ได้อย่างบาดลึกลงไปในจิตใจของคนฟังเลยทีเดียว...

      อีกตอนหนึ่ง....     

๐ บงเนื้อก็เนื้อเต้น      
พิศเส้นสรีร์รัว
ทั่วร่างและทั้งตัว               
ก็ระริกระริวไหว

๐ แลหลังละลามโล     
หิตโอ้เลอะหลั่งไป
เพ่งผาดอนาถใจ                        
ระกะร่อยเพราะรอยหวาย…ฯลฯ

ท่อนแรกประพันธ์ในรูปอีทิสฉันท์หรือ อีทิสังฉันท์ ๒๐ ส่วนท่อนหลังคือ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑  แต่ทั้งสองท่อน  ต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความงามแห่งภาษาศิลป์ที่สะท้านสะเทือนอารมณ์ได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย..

โพสต์แนะนำ

สาระนิทาน ชุด ไม้ไทยใจดี 🍽 เรื่อง "ข.ข้าว ขาว ขาว"

เขียวเอย...เขียวพรมผืนใหญ่ ใครมาถักทอไว้ แลไกลสุดตา  เจียวเอย... ตัวฉันนั่นไง  ใบ ข้าว เขียวเขียว ยืนต้นเดี่ยวเดี่ยว  ร...