วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

เกร็ดภาษาไทย ⏳ เวลาที่ผ่านเลย..คำว่า นาฬิกามาจากไหน

ตำนานเวลา

หยุดเขียนไปหลายวันเพราะหดหู่เศร้าใจกับความเป็นไปของสถานการณ์บ้านเมืองจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง วันนี้เลยขอต่อเรื่องการนับเวลาแบบไทย ๆ ที่เขียนค้างไว้ให้จบ....

คติไทยสมัยก่อน (หรืออาจจะรวมถึงสมัยนี้ด้วย) นิยมอะไรที่ “ง่ายไว้ก่อน พ่อสอนไว้” จนดูเหมือนจะกลายเป็นค่านิยมทางวัฒนธรรมแบบหนึ่งของไทยเราไปแล้ว แม้แต่ภาษาไทยของเราเองก็ดูจะไม่เว้นเช่นกัน เพราะนับตั้งแต่สมัยแรกกำเนิดภาษาไทยก็นิยมใช้คำโดดหรือคำที่ออกเสียงพยางค์เดียวในการสื่อความหมายอยู่แล้วเช่น ฉัน,รัก, แม่...ฯล.

จนกระทั่งต่อมาระยะหลังนั่นแหละ ถึงเริ่มมีการใช้คำควบหรือคำประสมตามอิทธิพลที่ได้รับมาจากภาษาบาลี-สันสกฤตรวมทั้งภาษาในตระกูลมอญ-เขมรเพิ่มเติมเข้ามา

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะกำหนดนับเวลาตามสิ่งที่เห็นและรู้สึกได้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นคำว่า “โมง” และ “ทุ่ม”อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเวลาช่วงกลางวันและกลางคืน ก็มาจากเสียงย่ำฆ้องและกลองที่ทางวัดใช้ตีบอกเวลาในแต่ละชั่วโมงของวันนั่นเอง เนื่องจากสมัยก่อนนาฬิกามักมีใช้เฉพาะภายในวัดเท่านั้น ชาวบ้านจึงต้องอาศัยเสียงสัญญาณกลองและฆ้องที่ดังมาจากวัดเป็นหลัก บ้างที่อยู่ห่างไกลออกไปจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงย่ำกลองก็ต้องใช้วิธีฟังเสียงปืนใหญ่ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดฯให้ทหารเรือยิงปืนใหญ่ประจำเรือทุก ๆ เที่ยงวันเพื่อประชาชนและบรรดาพ่อค้าวานิชจะได้ใช้เทียบเวลาประจำวัน นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “ไกลปืนเที่ยง” ซึ่งหมายพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ และยังเป็นที่มาของการกำหนดให้กองทัพเรือเป็นผู้รักษาเว
ลามาตรฐานของประเทศอีกด้วย


กังวานดัง “โหม่ง” แรกของวัน เริ่มจากเสียงฆ้องที่ตีบอกเวลาตั้งแต่ ๗ นาฬิกาจนถึงเพลหรือ ๑๑ นาฬิกาอันเป็นเวลาที่พระฉันอาหารนับไล่เรียงมาตั้งแต่ฟ้าสว่างหรือย่ำรุ่ง (๖ นาฬิกา) เป็นหนึ่ง..สอง...สาม..สี่..และห้าโมงเช้าหรือเพลตามลำดับ (ต่างจากประเพณีสากลที่เริ่มนับหนึ่งกันตั้งแต่ผ่านพ้นชั่วโมงแรกหลังเที่ยงคืนเลยทีเดียว) พอผ่านเที่ยงวันก็เริ่มนับใหม่เป็นช่วงบ่ายโมง..บ่ายสอง..สาม..สี่..และห้าเช่นเดียวกัน ก่อนผ่านไปยังย่ำค่ำ (๑๘ นาฬิกาหรือหกโมงเย็น) หลังจากนั้น สัญญาณก็จะเปลี่ยนไปจากการใช้ฆ้องมาเป็นกลองดังตุ้ม..ตุ้ม ตั้งแต่ตุ้มเดียวหรือหนึ่งทุ่มไปจนถึงห้าตุ้มหรือห้าทุ่ม ก่อนถึงเที่ยงคืนหรือหกทุ่มหรือที่นิยมเรียกกันว่า “สองยาม”ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา..

คำว่า "ยาม" ที่จริงก็มาจากกำหนดการเข้าเวรยามของทหารยามรักษาการภายในพระราชวังนั่นเอง ในสมัยก่อน การผลัดเวรยามของทหาร ช่วงกลางวันจะแบ่งเป็น ๒ ผลัด ผลัดละ ๖ ชั่วโมงตั้งแต่ย่ำรุ่งจนถึงย่ำค่ำ หลังจากนั้นจึงถึงเวรของยามผลัดกลางคืนซึ่งแบ่งตามคาบเวลาเป็นช่วง ๆ ละ ๓ ชั่วโมงเริ่มตั้งแต่ย่ำค่ำหรือหกโมงเย็นถือเป็นยามต้นจนถึงสามทุ่ม..ยาม ๒ ตั้งแต่สามทุ่มถึงเที่ยงคืนหรือสองยาม ต่อด้วยยาม ๓ (เที่ยงคืน-ตีสาม) และยาม ๔ (ตีสาม – ย่ำรุ่งหรือหกโมงเช้า) ตามลำดับ

การนับยามแบบนี้มีข้อสังเกตเล็กน้อยสำหรับคนที่เคยผ่านตานิยายกำลังภายในหรือพงศาวดารจีนมา คือข้อแตกต่างตรงที่จีนนับยามเป็นคาบเวลาเพียงช่วงละ ๒ ชั่วโมง ขณะที่ไทยเราถือ ๓ ชั่วโมงเป็นหลัก

ช่วงพลบค่ำหรือย่างเข้าสู่ช่วงกลางคืน ตามวัดวาอารามสมัยก่อนมักย่ำกลองอันหมายถึงการกระหน่ำตีซ้ำ ๆ เป็นสัญญาณบอกว่าสนธยาหรือรัตติกาลกำลังเริ่มขึ้น จนกลายเป็นที่มาของคำว่า “ย่ำค่ำ” และเลยไปถึงคำว่า “ย่ำรุ่ง” เพื่อให้รับกันในช่วงเช้าด้วย แม้ในช่วงเวลานี้ จะไม่มีการ“ย่ำ” ฆ้องหรือกลองแต่ประการใด

ตลอดช่วงกลางคืนหลังพลบค่ำ แทนการใช้สัญญาณฆ้องหรือกลองเป็นเครื่องบอกเวลาอย่างตอนกลางวัน เขานิยมใช้วิธีเคาะแผ่นเหล็กเมื่อครบแต่ละชั่วโมงแทน เนื่องจากเสียงไม่ดังมากนักจนถึงกับรบกวนการนอนหรือการพักผ่อนของผู้คน โดยมักจะเริ่มการตีตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป จึงนิยมเรียกกันในภายหลังว่า ตีหนึ่ง..ตีสอง..ตีสาม..เรื่อยมา

อรรถาธิบายเรื่อง ทุ่ม, โมง, ยาม, ย่ำ, ตี ก็คงเอวังได้ด้วยประการฉะนี้....


https://planetpt.blogspot.com/search/label/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%20%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B9%87%E0%B8%99

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

บทกวี >> ก่อนจะถึงปลายทาง


ร้อยรสบทกวี...ก่อนจะถึงปลายทาง

กว่าจะเป็นไม้ใหญ่ได้สักต้น
ต้องต่อสู้ดิ้นรนขนาดไหน
ต้องผ่านลม..ฝน..ฟ้ามาเท่าใด
นก..หนู..หนอน..ชอนไชกี่ภัยพาล

จึงเติบใหญ่ให้เห็นเป็นไม้หลัก
เป็นที่พักที่กินเป็นถิ่นฐาน
ให้ส่ำสัตว์ได้สิงสู่อยู่สุขสราญ
สืบตำนานผู้ให้แห่งไพรเย็น

กว่าเป็นคนเต็มคนสักคนหนึ่ง
กว่าเอื้อมถึงหลักชัยให้เขาเห็น
กว่าเปี่ยมศักดิ์บารมีอย่างที่เป็น
ต้องลำเค็ญแค่ไหนกว่าได้มา

ต้องบ่มเพาะประสบการณ์ทำงานหนัก
ต้องฟันฝ่าอุปสรรคอันหนักหนา
กี่หุบเหว กี่หนาวร้อน กี่อ่อนล้า
จึงสั่งสมบุญญาได้เท่านี้

แล้วไยเล่ายังไม่เข้าใจโลก
ว่าสุขโศกล้วนได้จากใจนี่
แม้อิ่มบุญวาสนามานานปี
ก็หลีกหนีไม่พ้นวงเวียนกรรม

ไยจึงต้องยึดติดนิมิตใหม่
ฝากหัวใจกับคนพาลสันดานต่ำ
ผู้ไร้ค่าแปดเปื้อนแต่เงื่อนงำ
ให้มืดดำในเบื้องท้ายปลายชีวิต

ไม่คิดถึงลูกหลานเลยบ้างหรือ
จึงดึงดื้อดันทุรังสร้างบาปผิด
ให้สายทรามตามตัวไปทั่วทิศ
ตามลิขิตประวัติศาสตร์จักวาดไว้

หยุดเสียเถิด วางเสียเถิด เลิกเสียเถิด
ทางประเสริฐคงรู้อยู่หนไหน
เพื่อบุญของทวยราษฎร์ของชาติไทย
และเพื่อใจไม่ต้องตกนรกนาน...นาน./


บทกวี >> ก่อนจะถึงปลายทาง

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานเพลง : หนูกรุง - หนูนา



ภาพถ่าย

หนูนา: เกิดมาเป็นหนูนา ปัญหามันมีมากมาย
วันวันว้าวุ่นวาย คอยหลบกายซ่อนตัวทั้งเดือนทั้งปี คอยหนีศัตรู
ทั้งคนทั้งงู เหยี่ยวร้ายควายวัว
ทุกคนทุกตัว น่ากลั๊ว..น่ากลัว....(น่าเบื่อด้วย..)

(ร้องแร็พ) เฮ้อ..ชีวิตมันมีแต่ทุกข์
นั่งลุกก็ไม่ค่อยสบาย
ใคร ๆ เขาชอบคิดร้าย ข้าวปลาเสียหาย เขาก็โทษหนูนา
อยากไปซะให้พ้น ๆ ชีวิตอลวน บนดินบนหญ้า
เอ๊ะ! ใครแว้บไป แว้บมา

หนูกรุง : สวัสดีหนูนา ฉันมาเยี่ยมเธอ
หนูนา : โอ๊ะ โอ๋ หนูกรุงนี่นา สวัสดีจ้ะ ดีใจที่ได้เจอ
กำลังคิดถึงเชียวเออ...
หนูกรุง : มีเรื่องอะไรเหรอ
หนูนา : ก็เบื่อน่ะซี
หนูกรุง : ถ้างั้นไปมั้ยล่ะกับฉัน ไปเที่ยวกรุงกัน เดี๋ยวก็มันไปเอง
มีทั้งแสงสี เสียงเพลง ร้องรำบรรเลง ครื้นเครงน่าดู



หนูนา : อือม์..ก็ดี ก็ดีเหมือนกัน รีบไปเลยงั้น ฉันอยากจะรู้
หนูกรุง : แหม..ใจเร็วจริงนะ น้องหนู
หนูนา : อ้าว..ก็อยากไปดู
หนูกรุง : งั้นไปเลยไป...โลด


ดนตรีเปลี่ยน แทรกเสียงความวุ่นวายในเมือง..เสียงรถ..
เสียงเบรก.. มอเตอร์ไซค์..นกหวีด..คนพูด..เสียงจ้อกแจ้กจอแจ
หนูกรุง : (ตะโกน) เร็วเข้า ทางนี้..ทางนี้.. (เสียงวิ่งคึ่ก คึ่ก)


หนูนา : โอ๊ย...คนยังกะมด รถก็เป็นล้าน ควันก็เม้น..เหม็น..
หนูกรุง : ใจเย็น..ใจเย็น..ใจเย็น..
ก็อย่างที่เห็น นี่ละ เมืองกรุง
หนูนา : โอย..ย หัวมันปั่น ดูมันยู้ง..ยุ่ง
หนูกรุง : ก็อย่างนี้แหละลุง ไม่เห็นจะเป็นไร
หนูนา : บรื๊อว์..ว แล้วก็นั่น แมวตั้งหลายตัว
หนูกรุง : ไม่เห็นต้องไปกลัว
หนูนา : โธ่...ไม่กลัวได้ไง
หนูกรุง : โอ๋...โอ๋...ไม่ต้องตกใจ
ค่อย ๆ เดินไป เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว...


(ดนตรีทำนองร้อง ๑ ขึ้นบาง ๆ เบา ๆ แล้วค่อย ๆ ดังขึ้น หนาขึ้น
หนูกรุงร้อง)

หนูกรุง : เกิดมาเป็นหนูกรุง อีรุงตุงนังทั้งวัน
แมวเป็นร้อยเป็นพัน ยังหลบทันทุกที
ทั้งควันรถยนต์ ทุกหนแห่งรุม
ทั้งคนชุกชุม โหด ร้าย เลว ดี
ทั้งเดือนทั้งปี ตี่ตะลิดติ๊ดตี ยังสบาย...

(ร้องแร็พ ๒)
หนูนา : เอ๊ะ! แปลกจริง หนูกรุงนี่แปลก
ฉันแทบสติแตก แต่เธอยังเก่ง
หนูกรุง : ใครว่า...?
หนูนา : ฉันว่าเอาเอง ก็เห็นร้องเพลง เหมือนไม่เดือดร้อนเลย
หนูกรุง : เดือดร้อน น่ะ..มันเดือดร้อน
แต่ไม่ทุกข์ร้อน มันก็เลยเฉย ๆ
หนูนา : เอ๊ะ! พูดอะไร ไม่เข้าใจเลย
หนูกรุง : โธ่เอ๊ย ๆ ของมันง่ายจะตาย

( Melody 2 – หนูกรุงร้อง)
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจมันไม่เสียหาย อยู่ไหนก็อยู่ได้ จริงไหมล่ะเพื่อน
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจบอกไม่เป็นไร มันก็ไม่เป็นไร จริงไหมล่ะเกลอ
ทุกสิ่งแปลกตาน่ากลัว ดูแล้วเวียนหู ไม่เอาดีกว่า
หนูกรุง : อ้าว... ก็ไหนบอกว่า เบื่อบ้านนาไง
(หนูนาร้องเพลง)
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจมันไม่เสียหาย อยู่ไหนก็อยู่ได้ จริงไหมล่ะเพื่อน

หนูกรุง : เออ…เออ...ใช่แล้ว...ใช่แล้ว...

(หนูกรุง หนูนา ร้องพร้อมกัน – Melody 2)
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจมันไม่เสียหาย อยู่ไหนก็อยู่ได้ จริงไหมล่ะเพื่อน
ทำใจให้มันสนุก จะนั่งจะลุก มันก็สบาย
ลองใจบอกไม่เป็นไร มันก็ไม่เป็นไร จริงไหมล่ะเกลอ

(ซ้ำ...เฟด..จนจบ)

โพสต์แนะนำ

สาระนิทาน ชุด ไม้ไทยใจดี 🍽 เรื่อง "ข.ข้าว ขาว ขาว"

เขียวเอย...เขียวพรมผืนใหญ่ ใครมาถักทอไว้ แลไกลสุดตา  เจียวเอย... ตัวฉันนั่นไง  ใบ ข้าว เขียวเขียว ยืนต้นเดี่ยวเดี่ยว  ร...