-->
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กำลังใจ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กำลังใจ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

บทกวี >> โลกสีขาวของหนู

 planetp - บทกวี

โลกสีขาวของหนูอยู่ที่ไหน

มันอยู่ในกระดาษวาดเขียนหนู

หรืออยู่ในชอล์คที่ถือในมือครู

หรือเป็นเพียงคำหรูหรูหนูเคยฟัง


โลกสีขาวอยู่ไหนหนูไม่เห็น  

ตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่เห็นหวัง

เห็นแต่รอยขาดวิ่นอันภินท์พัง

กับคราบอันเกรอะกรังประดังประเด


ลับแววตาฝ่าสายลมจนคมกริบ

เพ่งกระพริบตามทางไม่ห่างเห

โลกวิมุติทรุดซวนแกมรวนเร

เหมือนพ่ายพับกับเสน่ห์แห่งโลกีย์


โลกสีขาวจึงวันนี้กลายสีหม่น

ฉาบทะเลผู้คนอยู่ทุกที่

เกลื่อนความหมองนองน้ำตาล้นราคี

เปล่งประกายความดีด้วยสีดำ 

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> บานประตู

บทกวี  บานประตู   https://planetpt.blogspot.com/

บานประตูมีไว้ให้เปิดกว้าง 
ใช่แค่เพียงอำพรางซ่อนบางสิ่ง 
หรือจำนนพ่ายแพ้อย่างแท้จริง 
จึงปิดตายไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น 

บานประตูมีไว้ใช่แค่แง้ม 
หากยังถูกแต่งแต้มด้วยสีสรรพ์ 
ที่รอการเปิดไขใช่ทางตัน 
แต่คือก้าวสำคัญสู่โลกงาม 

ถึงรั้วหนากล้าแกร่งกำแพงกั้น 
ก็ไม่อาจหยุดฝันอันไหวหวาม 
เพราะหัวใจนักสู้ทุกผู้นาม 
ไม่เคยหยุดติดตามหาตัวตน
 
ตราบรำเพยแห่งสายลมยังพรมพัด 
ไม้ยังผลัดใบบังยังร่วงหล่น 
กระแสแห่งศักดิ์ศรีเสรีชน 
ย่อมว่ายวนรี่ไหลในสำนึก
 
เมื่อแสงทองส่องเตือนการเคลื่อนไหว 
แสงก็ส่องห้องหัวใจให้รู้สึก 
สะทกสะท้อนวามวู่อยู่ลึกลึก 
ให้ตริตรึกลึกซึ้งถึงทางควร

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทกวี >> คือกรวดเม็ดหนึ่ง

แค่กรวดเม็ดหนึ่ง
กูก็แค่กรวดเม็ดหนึ่ง
ซึ่งปริแยกแตกจากภูผา
จองจำเนิ่นผ่านกาลเวลา
ปรารถนาใดใดไป่มี

วันหนึ่งฟ้าอับดาวก็กราวก้อง
กู่ร้องฝนฟ้าอึงมี่
เพิงผาพลันพ่ายพับปฐพี
ครืนกระชากซากธุลีเกรียวกรู

กึกก้องกัมปนาทกราดเกรี้ยว
น้ำเชี่ยวโซรมซัดสาดซู่
กรวดก้อนซอนซับรับรู้
กูกระอักเกินกล้ำลำเค็ญ

ถัดถั่งท่องนทีรี่ไหล
ไปตามกระแสสินธุ์เตลิดเต้น
เกลือกกลิ้งทบท่าวหนาวเย็น
เคืองเข็ญคับแค้นแน่นใน

กูคือผู้แพ้แน่หรือ
กูล้า..รามือใช่ไหม
หรือกร้าวหรือแกร่งเกินไป
จึงน้ำโลมไล้เกลากลึง

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> สวัสดี คุณครู

ขอกราบครูผู้จุดเทียนการเขียนอ่าน
สวัสดีคุณครูผู้สอนศิษย์ 
คารวะตั้งจิตอธิษฐาน  
เทิดฐานะคำว่า ครู..อาจารย์ 
ดุจสะพานปัญญาแห่งธาตรี 

ขอกราบครูผู้จุดเทียนการเขียนอ่าน 
มุ่งสืบสานวิทยาโดยหน้าที่ 
เป็นรอยบุญหนุนนำคุณความดี 
ตามวิถีที่มนุษย์ควรรุดไป 

เพราะชีวิตวุ่นว้างบนทางเปลี่ยว 
ช่างคดเคี้ยวโขดเขินเกินวิสัย 
จะฝันข้ามตามรักสู่หลักชัย 
โดยขาดไร้ผู้แผ้วถางนำทางตน 

ครูผู้เอื้ออาทรจึงสอนสั่ง 
เพียรต่อตั้งเฝ้าสังเกตให้เหตุผล 
ขับคุณค่าความงามความเป็นคน 
บนถนนสายเวลาอนาคต 

ละล่องลอยคล้อยเคลื่อนเดือนปีคล้อย 
เรือชีวิตแล่นลอยตามบาทบท 
ครูยังคงเป็นครูผู้งามงด 
ไม่ราลดหมายศิษย์นี้ดีกว่าเดิม 

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> ทัณฑ์กามเทพ

เขาว่ารักสร้างหวังคนทั้งโลก  ไยบันดาลทุกข์โศกเสียยิ่งกว่า
จะก้าวเท้าก้าวหนึ่งหรือครึ่งก้าว จะก้าวยาวก้าวสั้นใช่ปัญหา สุดท้ายเมื่อพ้นผ่านกาลเวลา ย่อมสมดังเจตนาหรือปราชัย เมื่อมีหนึ่งมีสองต้องมีสาม ที่ติดตามตัวตนตั้งต้นใหม่ เดี๋ยววูบวับเดี๋ยวอับปางเดี๋ยวร้างไกล เดี๋ยวสดใสเดี๋ยวโฉดเขลาเดี๋ยวเศร้าซึม ใจเอยใจไยเจ้าจึงเขลานัก มาติดปลักเกลียวกวนอวลกระหึ่ม เผชิญคลื่นความเหงาอันเทาทึม กลางหมอกครึ้มอ้อยอิ่งชิงชวยชาย ดังวิหคปีกวิ่นบินผ่านฝน ฝ่าความมืดมัวมลอันเหน็ดหน่าย ไม่อาจกลับไม่อาจรู้อยู่หรือตาย รอเพียงพ่ายหรือพ้นจากโพยภัย รักไม่เคยปรานีที่จะรั้ง ครั้นหยุดยั้งกลับมิเกรงเร่งผลักไส ส่งไปที่เรือนหวังกำลังใจ พอเฉียดใกล้กลับทึ้งดึงกลับมา

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

บทกวี >> สื่อมารชน

สื่อมารชน  กระดาษเปื้อนหมึก
เคยเป็นเช่นกระจกเงาทุกเช้าตรู่
ส่องสัญญาณการรับรู้ผู้คนเห็น
ฉายความทุกข์ปลุกสำนึกอันลึกเร้น
จนโดดเด่นได้ชื่อ ‘สื่อสาระ’

สร้างมติมหาชนบนหยาดหมึก
จารบรรทึกสรรพปัญญาวิสาสะ
เหมือนแสงทองส่องทางสร้างพันธะ
โดยสัจจะปกปักคคนางค์

จนคืนร้าว...
แล้วจันทร์แรมก็ลัดหาวอยู่ไม่ห่าง
ขับอุษาคอยเยือนให้เลื่อนราง
ปล่อยหมอกเมฆขุ่นคว้างเข้ารุมเมือง

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> เมืองคนดิบ


ใครบางคนอาจกำลังยืนหัวร่อ แต่เรามีเหตุผลพอจะร่ำไห้

ใครบางคนอาจกำลังยืนหัวร่อ
แต่เรามีเหตุผลพอจะร่ำไห้
กับหลายสิ่งที่เห็นที่เป็นไป
ด้วยสมเพชประเทศไทยในยามนี้

เกิดวิบัติประหัตชาติถึงอาจล่ม
การโค่นล้มดำเนินเกินหลีกหนี
ภาพตำตาสารพัดสัตว์อัปรีย์
หมายราวีรัฐวอดมิเว้นวัน

เมื่อชั่ว..โง่..ดื้อ..บ้า..มากันครบ
โลกก็ถึงจุดจบทุกสิ่งสรรพ์
ราวชีวิตพลัดหลงถูกลงทัณฑ์
ตกนรกนิรันดร์ทั้งลืมตา

เหมือนกันหมด..มองทางไหนไร้ที่หวัง
โลกสูญพลังแห่งธรรมมานำหน้า
เกลื่อนโขยงโกงกันไปโกงกันมา
ปลุกระดมปัญญาแค่หายัด

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บทกวี >> มือที่ถือปากกา

มือที่ถือปากกามีค่านัก
มือที่ถือปากกามีค่านัก
ทุกรอยลักษณ์อักษรสะท้อนสิ่ง
จะเบนบิดหรือน้อมนำไขความจริง
ย่อมเอนอิงตามนิมิตแห่งจิตตน

จิตใจงามคิดความก็งามหมด
จิตใจคดก็เสื่อมเสียและสับสน
คนเป็นคนคงค่าสมค่าคน
ย่อมไม่จนใจคิดพินิจใจ

ยุคสมัยอันกำกวมต้องกล้าแกร่ง
ต้องชัดเจนแจ่มแจ้งทางที่ใช่
ไม่คลุมเครือหลอนหลอกมีนอกใน
ดังโคมไฟส่องสว่างทางสายงาม

จินตนา..คารม..คมความคิด
ถ้อยวิจิตรจากใจอันไหวหวาม
ซึ่งส่งผ่านอารมณ์เป็นคมความ
ต้องกล้าถามกล้าท้าทุกท่าที

เพื่อเผยทางสร้างสรรค์ตะวันรุ่ง
ขับม่านหมอกวันพรุ่งทุกถิ่นที่
ส่องเสี้ยนหนามรกชัฎในปัฐพี
เพื่อหลบลี้้และหาทางแผ้วถางมัน

ปากกาอาจขาดพลังไม่ดังมาก
แต่เมื่อปากต่อปากอยากรังสรรค์
เสียงก็ไพเราะดังเป็นรางวัล
อาจส่งฝันถึงวันใหม่ให้เป็นจริง

มือที่ถือปากกามีค่านัก
หากรู้จักพิทักษ์ธรรมนำทุกสิ่ง
หากบิดเบือนสัจจะหมายละทิ้ง
มันก็ยิ่งกว่าขยะสวะคน!



๑๙ กันย์ ‘๕๕
เยี่ยมชม ๐ Page...http://www.facebook.com/RaPhiPhchra?ref=hl


วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> ประเทศไทยต้องไม่แพ้...??


ภาพวันนั้น...มันหายไปไหน
ภาพวันนั้น...มันหายไปไหน
รอยยิ้มจริงใจเกลื่อนใบหน้า
เด็กน้อยจูงมือมารดา
พ่อค้าแม่ขายรายทาง

เมืองแก้วร้างแก้วแล้ววันนี้
คลื่นคนขวัญหนีอยู่ไม่สร่าง
กัมปนาทเสียงปืนครืนคราง
ผนึกความอ้างว้างแก่ผู้คน

นี่คือเมืองพระ...เมืองพุทธ
ที่มนุษย์ฆ่ามนุษย์ทุกแห่งหน
และไม่ใช่สงครามประชาชน
แต่เป็นแค่เหตุผล...คนอยากทราม

กับสังคมเน่าเน่าสังคมนี้
เหมือนไม่มีคำตอบทุกคำถาม
มีแต่ “เงิน”และ “งก” คือความงาม
ให้ติดตามตาเห็นไม่เว้นวาย

แล้วจะมีหวังใดให้ได้หวัง
ในเมื่อพลังขับเคลื่อนต่างสูญหาย
เกลื่อนเจ้าที่เจ้าทางไร้ยางอาย
พร้อมส่งผ่านความหมายตายทั้งเป็น

มืดกว่าคืนเดือนมืด...มืดสนิท
ทุกชีวิตเหยาะย่างกลางของเหม็น
ไร้สัญญาณการเยือนของเดือนเพ็ญ
นอกจากหนาวเยียบเย็นและอ่อนล้า

วันนี้...พรุ่งนี้...หรือพรุ่งไหน
จึงไทยคือไทยได้สมค่า
มิใช่เมืองยิ้มคือมายา
กับคาถา..ประเทศไทยต้องไม่แพ้.




วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> ฤาสยามไร้ผู้รู้หน้าที่



คือความวิปโยคโศกสมัย ประกาศความป่วยไข้ไปทุกแห่ง
คือความวิปโยคโศกสมัย
ประกาศความป่วยไข้ไปทุกแห่ง
เมื่อธรรมะใสพิสุทธิ์หยุดแสดง
ปล่อยกาลีแก่งแย่งสำแดงตน

หรือคนกล้า คนดีไม่มีแล้ว
เหลือแต่กาตาแววผู้สับสน
บริกรรมพร่ำคาถาว่าอดทน
ให้ปวงชนสิ้นหวังทุกครั้งครา

หรือคนดีอยู่ไม่ได้ในเมืองนี้
โลกไม่มีหลักประกันให้คนกล้า
หรือสิ้นสุดกระแสยุติธรรมา
ความชั่วช้าสามานย์จึงพล่านนัก

ปล่อยอัปรีย์ผีร้ายสยายร่าง
เกลื่อนกร่างตำใจให้ติดปลัก
เพื่อนไทยพาไทยให้แล้งรัก
แจ้งประจักษ์เต็มตาก็ครานี้

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

บทกวี >> ก่อนจะถึงปลายทาง


ร้อยรสบทกวี...ก่อนจะถึงปลายทาง
กว่าจะเป็นไม้ใหญ่ได้สักต้น
ต้องต่อสู้ดิ้นรนขนาดไหน
ต้องผ่านลม..ฝน..ฟ้ามาเท่าใด
นก..หนู..หนอน..ชอนไชกี่ภัยพาล

จึงเติบใหญ่ให้เห็นเป็นไม้หลัก
เป็นที่พักที่กินเป็นถิ่นฐาน
ให้ส่ำสัตว์ได้สิงสู่อยู่สุขสราญ
สืบตำนานผู้ให้แห่งไพรเย็น

กว่าเป็นคนเต็มคนสักคนหนึ่ง
กว่าเอื้อมถึงหลักชัยให้เขาเห็น
กว่าเปี่ยมศักดิ์บารมีอย่างที่เป็น
ต้องลำเค็ญแค่ไหนกว่าได้มา

ต้องบ่มเพาะประสบการณ์ทำงานหนัก
ต้องฟันฝ่าอุปสรรคอันหนักหนา
กี่หุบเหว กี่หนาวร้อน กี่อ่อนล้า
จึงสั่งสมบุญญาได้เท่านี้

แล้วไยเล่ายังไม่เข้าใจโลก
ว่าสุขโศกล้วนได้จากใจนี่
แม้อิ่มบุญวาสนามานานปี
ก็หลีกหนีไม่พ้นวงเวียนกรรม

ไยจึงต้องยึดติดนิมิตใหม่
ฝากหัวใจกับคนพาลสันดานต่ำ
ผู้ไร้ค่าแปดเปื้อนแต่เงื่อนงำ
ให้มืดดำในเบื้องท้ายปลายชีวิต

ไม่คิดถึงลูกหลานเลยบ้างหรือ
จึงดึงดื้อดันทุรังสร้างบาปผิด
ให้สายทรามตามตัวไปทั่วทิศ
ตามลิขิตประวัติศาสตร์จักวาดไว้

หยุดเสียเถิด วางเสียเถิด เลิกเสียเถิด
ทางประเสริฐคงรู้อยู่หนไหน
เพื่อบุญของทวยราษฎร์ของชาติไทย
และเพื่อใจไม่ต้องตกนรกนาน...นาน./


บทกวี >> ก่อนจะถึงปลายทาง

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

บทกวี >> พลังเงียบ..ต้องไม่เงียบ..!!


พลังเงียบต้องไม่เงียบ ต้องกล้าเหยียบกล้าหยัดยืน
พลังเงียบต้องไม่เงียบ
ต้องกล้าเหยียบกล้าหยัดยืน
ปลุกใจให้ฟื้นตื่น
ด้วยมาดมั่นกระชับมือ

เพลาอนาคต
ถูกกำหนดให้ยึดถือ
จะหงอจะอออือ
หรือกอบกู้เชิดชูธรรม

นี่คือทางสองแพร่ง
ที่ยื้อแย่งชิงการนำ
กี่ถ้อยกี่ร้อยคำ
ก็ไม่สู้หนึ่งใจคิด

เลือกเอาและเลือกเอง
อย่าคร้ามเกรงเพราะเป็นสิทธิ
วันนี้คือชีวิต
จะถูกผิดก็วันนี้

ธำรง “ทรงพระเจริญ”
เพื่อสรรเสริญพลังความดี
หรือปล่อยให้อัปรีย์
มันรื้อบ้านประหารเมือง

เมื่อเลยขีดของเหตุผล
ประสาคนไม่รู้เรื่อง
จาบจ้วงอยู่เนืองเนือง
ควรหรือจะละเว้นมัน

เพื่อนเอ๋ย..พี่น้องเอ๋ย..
อย่าชื่นเชยแต่เพียงฝัน
เมื่อไทยไม่รักกัน
สมานฉันท์ก็ป่วยการ.

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทกวี >> พิทักษ์ธรรม - พิทักษ์ไทย


โลกนี้ดำรงอยู่เพราะผู้กล้า
ผู้สืบทอดเจตนาท้าวิกฤติ
เพราะยึดมั่นคุณธรรมนำชีวิต
จึงอุทิศเพื่อศรัทธาเช่นว่านั้น

ทุกสงครามย่อมมีวีรบุรุษ
ผู้กล้านำกล้ารุดจุดไฟฝัน
เพื่อหล่อหลอมดวงใจให้ร่วมกัน
จู่ประจันอริราชศัตรู

นับเนื่องบุรพกาลนานมาแล้ว
ที่เถื่อนแถวถ่อยทรามมันหยามหลู่
อนารยะรุ่งเรืองและเฟื่องฟู
เหล่ามังกรต้องอดสูเป็นงูดิน

แต่มีไหมสักครั้งจีรังได้
กับอำนาจบาตรใหญ่ที่โหดหิน
ใต้เงื้อมเงาอับอื้อมือทมิฬ
มีหรือจะสูญสิ้นวิญญูชน

ผู้หาญกล้าต่อสู้เยี่ยงผู้กล้า
ผู้ลบบาปคราบน้ำตาดังห่าฝน
ที่เจิ่งนองท้นทับจับกมล
ของผู้คนทั่วผืนแผ่นดินไทย

เหมือนเทียนน้อยถูกจุดท่ามความมืดมิด
ให้ถ้วนทิศเห็นทางสว่างไสว
แม้จุดหมายปลายทางยังห่างไกล
แต่โชนไฟแห่งความหวังก็ยังดี

ต่อให้ใหญ่คับฟ้าถ้าทุศีล
ถ้าป่ายปีนแต่อสัตย์อันบัดสี
ย่อมมีมือนับร้อยนับหมื่นมี
คอยโจมจี้ยื้อยุดฉุดลงมา

ขอมือน้อยมือนี้อีกมือหนึ่ง
เป็นพลังเอื้อมถึงปรารถนา
แห่งกระแสยุติธรรมนำบัญชา
จากเบื้องฟ้ามาย้ำเน้นให้เป็นจริง.

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทกวี >> รักดีต้องกล้าดี...


เพราะใจไม่กล้าชั่ว  และเกลียดกลัวไม่กล้าทำ...
เพราะใจไม่กล้าชั่ว
และเกลียดกลัวไม่กล้าทำ
ธรรมะจึงเพลี่ยงพล้ำ
เหมือนพ่ายแพ้ตลอดมา

ถูกกระทำขยำขยี้
ก็ต่อตีกันซึ่งหน้า
ถูกเขาแกล้งกล่าวหา
ก็เชิดหน้าพร้อมรับกรรม

หัวใจอันกล้าแกร่ง
แม้โรยแรงเพราะถูกย่ำ
คำตอบอาจบอบช้ำ
และผิดหวังทุกครั้งคิด

แต่ใจก็คือใจ
ไม่มีใครกล้าสวมสิทธิ
ชี้นำทางชีวิต
ที่ลิขิตและเลือกเดิน

คนดีจึงกล้าดี
กล้าชวนชี้ที่ควรเมิน
กล้าข้ามทุกโขดเขิน
เพื่อพิสุจน์ถึงเส้นทาง

โลกแห่งอนาคต
จึงปรากฎทุกก้าวย่าง
รอยเท้าที่ทอดวาง
ไม่เคยร้างผู้เดินตาม

เป็นเช่นนี้และเช่นนี้
ตราบยังมีเศษซากทราม
ย่อมมีผู้ก้าวข้าม
และดาหน้าเข้าท้าทาย...


เพราะใจไม่กล้าชั่ว  และเกลียดกลัวไม่กล้าทำ...

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นิทานชวนเพลิน 🧚‍♂️ : นุ้ยกับนกเอี้ยงวิเศษ

นิทานชวนเพลิน >> นุ้ยกับนกเอี้ยงวิเศษ
นุ้ยเป็นเด็กเลี้ยงควายอยู่ในชนบทแห่งหนึ่ง เขายากจนมากเพราะกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้น จึงต้องรับจ้างเลี้ยงควายให้กับพวกชาวนา เพื่อแลกที่พักและข้าวปลาอาหารไปวัน ๆ
สมบัติที่นุ้ยมีติดตัวก็คือ เสื้อผ้าที่ทั้งเก่าและขาดซึ่งสวมใส่อยู่ กับมีดอีกเล่มหนึ่ง แต่เขาก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนกับความลำบากยากจนของตนแต่อย่างใด เพราะเขามีความคิดฝันอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่งเขาจะต้องประสบโชคดี
ทุกครั้งที่นุ้ยนั่งอยู่บนหลังควาย นุ้ยมักจะร้องเพลงอย่างมีความสุข และฝัน..ฝัน..ฝัน ถึงโชคของเขา

น่าเสียดายที่ทุก ๆ วัน นุ้ยต้องวุ่นวายอยู่กับฝูงควายที่ตนเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
ต้องพาไปกินหญ้า กินน้ำ อาบน้ำ คอยขับไล่ไม่ให้ควายบุกรุกเข้าไปในที่นาของคนอื่น และยังต้องคอยดูแลควายบางตัวที่เกเรอีก
นุ้ยได้แต่เลี้ยงควายและ..ฝัน..ฝัน ถึงโชค
ดังนั้น นุ้ยจึงไม่มีโอกาสออกไปหาโชค และไม่เคยคิดออกไปหา นอกจากรอคอยให้โชคเข้ามาหาตัวเอง
วันแล้ว..วันเล่า โชคดีก็ไม่มาหานุ้ยสักที นุ้ยได้แต่คอย..คอย..คอย และฝัน..ฝัน..ฝันนิทานชวนเพลิน >> นุ้ยกับนกเอี้ยง
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีนกเอี้ยงวิเศษตัวหนึ่งบินผ่านมา มันเห็นนุ้ยนั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นไม้ จึงบินมาเกาะข้าง ๆ และซักถามเรื่องราว พอทราบเรื่องมันก็หัวเราะ
“โธ่เอ๊ย...เรื่องแค่นี้เอง” มันพูด “ถ้าจะมีอะไรในโลกนี้ที่หาได้ง่ายที่สุดแล้วละก้อ ฉันว่า “โชค” นี่แหละที่หาง่ายกว่าเพื่อน ง่ายยิ่งกว่าหากล้วยกินเสียอีก”
นกเอี้ยงเสนอโชคให้นุ้ย
นุ้ยได้ฟังดังนั้นก็ดีใจยิ่งนัก รีบพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น เรามาแลกกันไหมล่ะ ฉันจะหากล้วยมาให้เธอ ส่วนเธอก็ไปหาโชคมาให้ฉัน เอาไหม”
พอนกเอี้ยงวิเศษรับคำ นุ้ยก็รีบวิ่งไปหากล้วยมาป้อนนกเอี้ยงวิเศษทันที แต่ด้วยความรีบร้อน เขาจึงทำกล้วยหล่นลงบนพื้นจนเปรอะเปื้อนไปหมด
“นุ้ย..นุ้ย..ลองใหม่อีกครั้ง” นกเอี้ยงวิเศษร้องขณะโผบินไปเกาะกิ่งไม้ใกล้ ๆ “เธอควรจะทำรังให้ฉันนะ แล้วเอากล้วยไปวางไว้ในนั้น ฉันจะได้กินง่าย ๆ แล้วฉันจะได้ไปนำโชคมาให้เธอ”“นุ้ย..นุ้ย..ลองใหม่อีกครั้ง” นกเอี้ยงวิเศษร้อง
นุ้ยจึงไปตัดกิ่งไม้เล็ก ๆ มาเป็นจำนวนมาก และนำมาประกอบกันเข้าจนกลายเป็นรังนกที่สวยงาม มีปล่องอยู่ตรงหลังคา และมีประตูทางเข้ากับหน้าต่างบานเล็ก ๆ ไว้ให้นกเอี้ยงมองทิวทัศน์ภายนอก ตรงกลางห้องมีคอนไม้กลม ๆ แขวนโยงด้วยเถาวัลย์เส้นเล็ก ๆ จากเพดาน สำหรับเป็นที่นอนของนกเอี้ยงวิเศษ
พอสร้างเสร็จ นุ้ยก็นำไปให้นกเอี้ยงวิเศษดู...
“ฉันอยู่รังอย่างนี้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวแมวร้ายจะมารังแกฉัน นุ้ย..นุ้ย..รังนี้มันเล็กเกินไป..”
“นุ้ย..นุ้ย นี่เธอทำรังไว้ให้ใครอยู่นะ” นกเอี้ยงวิเศษร้องขึ้น “ฉันอยู่ในรังอย่างนี้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวแมวร้ายจะมารังแกฉัน นุ้ย..นุ้ย..รังนี้มันเล็กเกินไป..” ว่าแล้ว นกเอี้ยงวิเศษก็โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยไม่ยอมกินกล้วยที่นุ้ยวางไว้ให้เลย
นิทานชวนเพลิน >> นุ้ยกับนกเอี้ยงวิเศษ
“ถ้าฉันสร้างรังให้ใหญ่และสวยงาม มีลักษณะเหมือนบ้านมากกว่านี้ นกเอี้ยงวิเศษคงจะชอบและนำโชคมาให้ฉัน” นุ้ยคิดแล้วจึงไปขอยืมขวานจากชาวนาผู้เป็นเจ้าของควายที่ตนรับจ้างเลี้ยง พอได้ขวานมาก็ไปขอตัดไม้ในที่ดินของเพื่อนบ้านมาจำนวนหนึ่ง
นุ้ยเริ่มทำงาน...ทำงาน...และทำงาน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน จนไม่มีเวลาเลี้ยงควาย และต้องขอให้ชาวนาผู้อารีดูแลควายของตนต่อไปตามเดิม
นุ้ยเริ่มทำงาน...ทำงาน...และทำงาน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน
หลายเดือนต่อมา รังใหม่ที่ใหญ่โตจนดูเหมือนกระท่อมหลังน้อย ๆ ก็เสร็จสิ้นพร้อม ๆ กับร่างกายของนุ้ยก็เติบโตและแข็งแรงกว่าเดิมเป็นอันมาก
กระท่อมหลังนี้มีห้องนอน ๒ ห้อง กับห้องนั่งเล่น ๑ ห้อง และยังมีห้องใต้หลังคาซึ่งมีประตูเล็ก ๆ ไว้ให้นกเอี้ยงวิเศษบินเข้าออกได้อีกทางหนึ่ง
นุ้ยรู้สึกภูมิใจกับกระท่อมที่สร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเป็นอย่างมาก“ฉันจะต้องสร้างบ้านให้ใหญ่และสวยงามกว่านี้มาก ๆ ต้องทำให้นกเอี้ยงวิเศษพอใจให้ได้”
น่าสงสารนุ้ยเสียจริง เจ้านกเอี้ยงวิเศษไม่ชอบกระท่อมของนุ้ยเลย ทันทีที่มันเห็นเข้าก็ร้องขึ้นว่า “นุ้ย..นุ้ย.. เธอสร้างกระท่อมไว้ให้ใคร ฉันอยู่กระท่อมแบบนี้ไม่ได้หรอก มันไม่สวยงามพอสำหรับนกเอี้ยงวิเศษอย่างฉัน” ว่าแล้ว นกเอี้ยงวิเศษก็บินจากไปโดยไม่ยอมแตะต้องกล้วยที่นุ้ยจัดเตรียมไว้ให้อีกเช่นเคย
“ฉันจะต้องสร้างบ้านให้ใหญ่และสวยงามกว่านี้มาก ๆ ต้องทำให้นกเอี้ยงวิเศษพอใจให้ได้” นุ้ยคิด แล้วจึงไปขอยืมขวาน เลื่อย สิ่ว และค้อนจากชาวนาผู้อารีอีกครั้ง พอได้มาก็ไปขอตัดต้นไม้ในที่ดินของเพื่อนบ้านอีกหลายต้น แล้วเริ่มสร้างบ้านหลังใหม่ทันที
นุ้ยทำงาน..ทำงาน..และทำงานอย่างหนักทุกวันนุ้ยทำงาน..ทำงาน..และทำงานอย่างหนักทุกวัน เลื่อยไม้ ทำเสาเข็ม เหลากระดานและฝาบ้านเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็นำมาประกอบกันอย่างประณีต ทีละชิ้น ๆ จนบ้านหลัง ๆ ค่อย ๆ ปรากฎเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทีละน้อยนิทานชวนเพลิน >> นุ้ยกับนกเอี้ยงวิเศษ
หลายปีผ่านไป บ้านหลังใหญ่ที่สวยงาม แข็งแรง ก็เสร็จสมบูรณ์ ขณะที่นุ้ยก็เติบโตเป็นชายหนุ่มที่สง่างาม แข็งแรง และมีความสามารถทางช่างไม้มาก
นุ้ยเติบโตเป็นชายหนุ่มที่สง่างาม แข็งแรง และมีความสามารถทางช่างไม้มาก น่าเสียดายที่นกเอี้ยงวิเศษไม่เห็นบ้านหลังนี้ มันไม่เคยปรากฎกายอีกเลยนับแต่นุ้ยเริ่มสร้างบ้านหลังนี้
เช่นเดียวกับนุ้ยที่ใจจดใจจ่ออยู่กับการสร้างบ้าน จนหลงลืมนกเอี้ยงวิเศษไป แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ เพราะบัดนี้ นุ้ยรู้แล้วว่าการทำงานที่ตนทุ่มเทลงไปนั้น ก่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า “โชค” เป็นไหน ๆ
บัดนี้ นุ้ยรู้แล้วว่าการทำงานที่ตนทุ่มเทลงไปนั้น ก่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า “โชค” เป็นไหน ๆ
นุ้ยเติบใหญ่ขึ้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างสง่างาม มีบ้านหลังใหญ่เป็นที่อาศัย ทั้งยังเป็นช่างไม้ฝีมือดีที่ใคร ๆ อยากจ้างให้ไปช่วยสร้างบ้านให้เสมอ ๆ
นุ้ยไม่เคยคิดฝันถึงโชคอีกเลย...


นิทานชวนเพลิน >> นุ้ยกับนกเอี้ยงวิเศษ
https://planetpt.blogspot.com/search/label/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%AD

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บทกวี >> รำพึง (ถึงเพื่อน) ในป่าปูน


วันนี้เสกสวรรค์สวรรค์สม
ไยปรารมภ์ถึงวันพรุ่ง
ประคิ่นโลก ประคองรุ้ง
ชั่วกาละขณะนี้


แต่เบื้องดึกดำบรรพ์
ทุกเผ่าพันธุ์มิพ้นผี
ปุบปับก็ลับลี้
ดะด่าวดิ้นกับดินดล

อย่าค้อมยอมใคร 
แม้ใหญ่เกินคน


ยืดกายยอเกศ 
เรืองเดชโดยตน
โดยเหตุโดยผล 
เทียบทิฆัมพร...

หนึ่งหยดน้ำใจให้
เจือเมรัยละเมียดอ่อน
แบ่งปันเอื้ออาทร
ประสาซื่อระหว่างเรา


สวรรค์ชั้นไหนไหน
จะเปรียบได้สองเราเล่า
ดื่ม..ดื่ม ให้มึนเมา
แล้วอุ้มเอาความรักไว้.


วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

บทกวี >> อิทัปปัจจัยตา ๒๕๕๒



บทกวี >> อิทัปปัจจัยตา ๒๕๕๒

เพราะมีสิ่งนี้        จึงมีสิ่งนั้น
เพราะมีความฝัน    จึงมีความหวัง
เพราะมีความรัก    จึงหนักความชัง
เพราะยากเหนี่ยวรั้ง    จึงต้องติงเตือน

ชะลอใจให้หยุดนิ่ง
แล้วความจริงจะเปิดเผย
เวลาที่ผ่านเลย
จักอ้างเอ่ยถึงตัวตน

เรื่องราวบนโลกนี้
ล้วนย่อมมีเหตุและผล
มีค่าประสาคน
ผู้เกิดมาและตายไป

ความดึทึ่หลงทาง
จะสรรค์สร้างอะไรได้
ตีปลาที่หน้าไซ
แค่ฉาบไล้ด้วยลมลวง

สัจจะคือขจัด
สาปอสัตย์ที่หล่นร่วง
กล้าห้ามและถามทวง
ถึงธาตุแท้ทุกทางธรรม

เพียงอยู่นิ่งยังมิหนำ
ขอดค่อนด้วยคาวคำ
ให้ขลาดคว้าไม่กล้าชิง

เป็นกลางแล้ววางเฉย
เหมือนละเลยในบางสิ่ง
อิดออดและทอดทิ้ง
กลบความจริงอันโหดร้าย

แม้ใจจะใฝ่ธรรม
หากหนุนกรรมอันเสียหาย
ก็เงียบเหงาและเปล่าดาย
กวักเมฆร้ายมากลืนเมือง./




วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทกวี >> ค่าราชการ

บทกวี >> ค่าราชการ
โลกวันนี้พัฒนาจนกล้าแกร่ง
เพราะเรี่ยวแรงคนดีช่วยชี้หนุน
มอบหัวใจใฝ่ธรรมคอยค้ำจุน
พร้อมไออุ่นให้กล้าสู้อย่างผู้ดี

บนบันไดสู่สวรรค์วันละก้าว
ต้องผ่านความปวดร้าวในหน้าที่
กี่ครั้งทน กี่หนรับความอัปรีย์
กว่าจะถึงวันนี้ที่ปลายทาง

วันที่โบกมือลาสถานภาพ
ด้วยหัวใจไร้บาปกลิ่นสาบสาง
พร้อมศักดิ์ศรีที่เห็นเด่นรางชาง
โดยสืบสร้างวางหลักนักปกครอง

เมื่อถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
คือถวายสัจจาประกาศก้อง
เราคือข้าราชการของพี่น้อง
และข้าทูลละอองของพระองค์

มีชีวิตเพียงอุทิศเพื่อหน้าที่
ปลูกความดีสัตย์ซื่อคือประสงค์
หวังเพียงรัฐพัฒนาค่ามั่นคง
สุขดำรงสยามรัฐกษัตริย์ไทย

มิใช่ข้ารัฐบาลสันดานโลภ
ผู้ถือครองความละโมบมาเป็นใหญ่
แล้วผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ามาเติมภัย
จนบ้านเมืองบรรลัยไม่เว้นวัน

พรุ่งนี้เป็นอย่างไรยังไม่แน่
แต่คนจริงจะไม่แพ้แม้ถูกหยัน
เพราะหัวใจผู้กล้าคือราชันย์
ที่สวรรค์ต้องอุ้มต้องคุ้มครอง.

บทกวี >> ค่าราชการ

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทกวี >> คนปลูกดอกไม้


บทกวี >> คนปลูกดอกไม้

และแล้วความดีกว่าก็ปรากฎ
แม้ไม่หมดความเขลาเข้ามาเพิ่ม
แต่อย่างน้อยก็ยังมีดีกว่าเดิม
ตรงดีเติมเพิ่มหวังกำลังใจ

บนเวทีที่หมายสุดปลายฟ้า
เธอคือผู้ค้นหาความหมายใหม่
คอยทอดวางสำนึกผนึกใน
เพื่อดอกไม้ดอกใหม่ได้ผลิบาน

หยาดน้ำใสทีละหยดรดใบอ่อน
ดังคำพรประโลมไล้ให้แตกก้าน
หนึ่งเป็นสอง..สองเป็นสี่ คลี่ตระการ
สะท้อนสะท้านสำนึกใหม่ให้มีเป็น

กลางความโลภ โกรธ หลง ประจงจัด
ประคองคัดความดีชี้ให้เห็น
ทีละจุด ทีละแฉก แยกประเด็น
ที่ลี้เร้นเห็นต่างกระจ่างพลัน

เราอาจต่างตามวิถีชีวทัศน์
ซึ่งมีกรอบจำกัดมีขีดขั้น
อาจบอบบางเข้มข้นที่ชนชั้น
แต่มีฝันงดงามทุกความคิด

เนิ่นนานนักหนา...
กงล้อกาลเวลาก่อจริต
เริงระบำร่ำบรรเลงเพลงชีวิต
กว่าสำนึกถูกผิดจะถึงพร้อม

คนปลูกดอกไม้...
เธอก็คือผู้ให้กระไอหอม
กำจายกลิ่นสุขสมให้ดมดอม
ดื่มดวงใจไหวน้อมด้วยยินดี

เธอทำให้คนเห็นเช่นที่หวัง
ยุติธรรมคือพลังแห่งศักดิ์ศรี
ที่มนุษย์ผู่หนึ่งจะพึงมี
และชวนชี้ให้เห็นเป็นความงาม.

บทกวี >> โลกหมุนไป ใจยังมี

บทกวี >> โลกหมุนไป  ใจยังมี
ชีวิตคนเกิดมากว่าจะดับ
เคยได้รับความรักสักกี่หน
เคยถึงพร้อมสิ่งดีดีสักกี่คน
เคยพบผ่านมารผจญกี่คน/ครั้ง

บนเส้นทางทอดยาวทุกก้าวย่าง
อาจมีบ้างบางทีที่สิ้นหวัง
เหมือนใจเจียนสิ้นแสงแห่งพลัง
ยากอยู่ยั้งหยัดยืนฝืนต่อไป

ภาพงดงามบางภาพอาจสาบสูญ
เศษขยะปฎิกูลอาจเปื้อนใส่
จนฟอนเฟะเละลึกผนึกใน
เกินห้ามใจสำนึกสะอึกเอียน

ต้องทนอยู่ดูดายความร้ายกาจ
ยอมจำนนต่ออำนาจชวนคลื่นเหียน
จำน้อมรับแม้จิตคิดอาเจียน
เพื่อสืบผลพากเพียรที่ทำมา

วันนี้ฟ้าอาจมืด...มืดสนิท
เห็นแต่ความมืดมิดทุกหย่อมหญ้า
สัมผัสผองภัยพาลละลานตา
ซึ่งถาโถมเข้ามาจนชาชิน

แต่เชื่อเถิด..ฟ้าอาจดำดูคล้ำหมอง
แต่แสงทองจักคงอยู่มิรู้สิ้น
ยิ่งมืดมาก ยิ่งใกล้สาง ยิ่งรางริน
เป็นอาจิณอยู่อย่างนี้ทุกวี่วัน

ขอจงสู้อย่างมั่นใจในภาพฝัน
ขอจงยึดถือธรรมเป็นสำคัญ
ขอตั้งมั่นในรักเป็นหลักชัย

ถึงเหนื่อยล้าก็จงล้า..แต่อย่าท้อ
ถึงต้องรอก็จงรอ..ต่อสู้ใหม่
ถึงเลือดตาแทบกระเด็น..ไม่เป็นไร
ตราบที่โลกหมุนไป..ใจยังมี

เพื่อแผ้วถางทางข้างหน้าให้ปรากฎ
เป็นเส้นทางงามงดด้วยศักดิ์ศรี
ปลุกสำนึกผู้ผ่านทางเส้นทางนี้
ให้เดินตามความดีที่พานพบ.

โพสต์แนะนำ

สาระนิทาน ชุด ไม้ไทยใจดี 🍽 เรื่อง "ข.ข้าว ขาว ขาว"

เขียวเอย...เขียวพรมผืนใหญ่ ใครมาถักทอไว้ แลไกลสุดตา  เจียวเอย... ตัวฉันนั่นไง  ใบ ข้าว เขียวเขียว ยืนต้นเดี่ยวเดี่ยว  ร...